ดาวศุกร์ (อังกฤษ: Venus) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 เมื่อมองจากโลกในตอนกลางคืน ดาวศุกร์เป็นวัตถุท้องฟ้าซึ่งสว่างรองลงมาจากดวงจันทร์[1][2] ดาวศุกร์มีวงโคจรอยู่ภายในวงโคจรของโลก ทำให้เมื่อสังเกตแล้วจะไม่ปรากฏว่าห่างจากดวงอาทิตย์มากนัก กล่าวคือ จะเห็นในตอนหัวค่ำทางทิศตะวันตก เรียกว่า "ดาวประจำเมือง" หรือเห็นในตอนเช้ามืดทางทิศตะวันออก เรียกว่า "ดาวประกายพรึก" หรือ "ดาวรุ่ง"

ดาวศุกร์  ♀ หรือ
Venus in approximately true colour, a nearly uniform pale cream
ภาพดาวศุกร์จาก ยานมาริเนอร์ 10
ลักษณะของวงโคจร
ต้นยุคอ้างอิง J2000
ระยะจุดไกล
ดวงอาทิตย์ที่สุด
:
108,941,849 กม.
0.72823128 หน่วยดาราศาสตร์
ระยะจุดใกล้
ดวงอาทิตย์ที่สุด
:
107,476,002 กม.
0.71843270 หน่วยดาราศาสตร์
กึ่งแกนเอก:108,208,926 กม.
0.72333199 หน่วยดาราศาสตร์
เส้นรอบวง
ของวงโคจร:
0.680 เทระเมตร
(4.545 หน่วยดาราศาสตร์)
ความเยื้องศูนย์กลาง:0.00677323
คาบดาราคติ:224.70096 วัน
(0.6151977 ปีจูเลียน)
คาบซินอดิก:583.92 วัน
อัตราเร็วเฉลี่ย
ในวงโคจร
:
25.020 กม./วินาที
อัตราเร็วสูงสุด
ในวงโคจร:
35.259 กม./วินาที
อัตราเร็วต่ำสุด
ในวงโคจร:
34.784 กม./วินาที
ความเอียง:3.39471°
(3.86° กับศูนย์สูตรดวงอาทิตย์)
ลองจิจูด
ของจุดโหนดขึ้น
:
76.68069°
มุมของจุด
ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
:
54.85229°
ดาวบริวารของ:ดวงอาทิตย์
จำนวนดาวบริวาร:ไม่มี
ลักษณะทางกายภาพ
เส้นผ่านศูนย์กลาง
ตามแนวศูนย์สูตร:
12,103.7 กม.
(0.949×โลก)
พื้นที่ผิว:4.60×108 กม.²
(0.147×โลก)
ปริมาตร:9.28×1011 กม.³
(0.857×โลก)
มวล:4.8685×1024 กก.
(0.815×โลก)
ความหนาแน่นเฉลี่ย:5.204 กรัม/ซม.³
ความโน้มถ่วง
ที่ศูนย์สูตร:
8.87 เมตร/วินาที²
(0.904 จี)
ความเร็วหลุดพ้น:10.36 กม./วินาที
คาบการหมุน
รอบตัวเอง
:
243.0185 วัน
ความเร็วการหมุน
รอบตัวเอง:
6.52 กม./ชม.
ความเอียงของแกน:2.64°
ไรต์แอสเซนชัน
ของขั้วเหนือ:
272.76°
(18 ชม. 11 นาที 2 วินาที)
เดคลิเนชัน
ของขั้วเหนือ:
67.16°
อัตราส่วนสะท้อน:0.65
อุณหภูมิพื้นผิว:
   เคลวิน
ต่ำสุดเฉลี่ยสูงสุด
228* K (ยอดเมฆ)737 K773 K
ลักษณะของบรรยากาศ
ความดันบรรยากาศ
ที่พื้นผิว:
9,321.9 กิโลปาสกาล
องค์ประกอบ:~96.5% คาร์บอนไดออกไซด์
~3.5% ไนโตรเจน
0.015% ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
0.007% ไอน้ำ
0.002% คาร์บอนมอนอกไซด์
0.0017% อาร์กอน
0.0012% ฮีเลียม
0.0007% นีออน
คาร์บอนิลซัลไฟด์ ปริมาณน้อยมาก
ไฮโดรเจนคลอไรด์ ปริมาณน้อยมาก
ไฮโดรเจนฟลูออไรด์ ปริมาณน้อยมาก

ดาวศุกร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ช้ามากและหมุนรอบตัวเองช้าเช่นกัน โดยโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบใช้เวลา 224.7 วันของโลก[3] และหมุนรอบตัวเองครบบริบูรณ์โดยใช้เวลา 243 วันของโลก แต่มีความยาววันสุริยคติ 117 วันของโลก ด้วยเหตุนี้ ดาวศุกร์จึงจัดเป็นดาวที่หมุนรอบตัวเองช้าที่สุดในระบบสุริยะ นอกจากนี้ ดวงอาทิตย์บนดาวศุกร์จะขึ้นทางทิศตรงกันข้ามกับโลก คือ ขึ้นทางทิศตะวันตกและตกทางทิศตะวันออก[4] ดาวศุกร์ไม่มีบริวารธรรมชาติเช่นเดียวกับดาวพุธ[5]

ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์หิน และมักกล่าวว่าเป็นดาวน้องสาวของโลก ด้วยเหตุที่มีขนาดใกล้กัน มวลเกือบเท่ากัน อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เหมือนกัน และมีส่วนประกอบเป็นหินเหมือนกัน อย่างไรก็ตามนั้น ดาวศุกร์มีลักษณะต่างจากโลกอย่างสุดขั้วในหลายด้าน อาทิ มีความหนาแน่นบรรยากาศสูงสุดในบรรดาดาวเคราะห์หินทั้งสี่ดวง ความดันบรรยากาศบนดาวศุกร์มีค่าประมาณ 92 เท่าของความดันบรรยากาศโลกที่ระดับน้ำทะเลปานกลาง ในบรรยากาศนั้นก็ประกอบไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 96% อุณหภูมิเฉลี่ยบนดาวศุกร์มีค่า 737 K (464 °C; 867 °F) ซึ่งสูงกว่าดาวพุธซึ่งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์มีเมฆซึ่งประกอบด้วยกรดซัลฟิวริก สะท้อนแสงได้ดีมาก จนไม่เห็นพื้นผิวในย่านแสงที่มองเห็น ในอดีตเชื่อว่า ดาวศุกร์เคยมีมหาสมุทร[6][7] แต่ต่อมามหาสมุทรระเหยเหือดแห้งไปอันเนื่องจาก ปรากฏการณ์เรือนกระจกแบบควบคุมไม่ได้ (runaway greenhouse effect)[8] น้ำที่ระเหยไปนั้นเชื่อว่าอาจถูกสลายด้วยแสง และไฮโดรเจนจากน้ำก็ถูกนำออกไปในบรรยากาศโดยลมสุริยะ[9]

การที่ดาวศุกร์มีความสว่างมากนี้เอง ทำให้มนุษย์มีความสนใจใคร่รู้และจดบันทึกการโคจร นับแต่สองพันปีก่อนคริสตกาล[10] ครั้นพัฒนาการสำรวจอวกาศได้รุดหน้า มนุษย์ได้สนใจใคร่รู้และสำรวจดาวศุกร์เป็นดาวแรกเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยยานมารีเนอร์ 2 แปดปีต่อมายานเวเนรา 7ก็ลงจอดยังผิวดาวศุกร์ ถึงกระนั้น เนื่องจากดาวศุกร์มีเมฆหนาทึบ การสำรวจพื้นผิวในรายละเอียดก็ไม่สามารถกระทำได้ดีนัก จนกระทั่งมียานมาเจลลัน สำรวจดาวศุกร์เมื่อ พ.ศ. 2534 ในปัจจุบันมีความพยายามศึกษาความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวศุกร์ ซึ่งยังเป็นหัวข้อวิจัยที่มีการถกเถียงกันอย่างมากอยู่

ชื่อของดาวศุกร์ในภาษาอังกฤษ มีที่มาจากเทพีแห่งความรักในเทพปกรณัมโรมัน ส่วนในภาษาไทย มาจากเทพพระศุกร์ หรือศุกระ ผู้เป็นครูของมารและเป็นเทพแห่งความงาม[11] สัญลักษณ์ของดาวศุกร์ในทางโหราศาสตร์และดาราศาสตร์สากล คือ ♀ อันเป็นสัญลักษณ์แทนเพศหญิง ส่วนในโหราศาสตร์ไทย ใช้ ๖ (เลขหกไทย)

ลักษณะทางกายภาพ

แก้
 
ขนาดของดาวศุกร์เมื่อเทียบกับโลก

ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์หินในจำนวนทั้งหมด 4 ดวงในระบบสุริยะ ซึ่งหมายความว่า ส่วนประกอบอันประกอบขึ้นเป็นดาวศุกร์นั้นเป็นหินเช่นเดียวกับโลก ยิ่งกว่านั้น ดาวศุกร์มีขนาดและมวลเท่ากับโลก จึงถูกขนานนามว่าเป็น น้องสาว หรือ ฝาแฝด ของโลก[12] เส้นผ่านศูนย์กลางของดาวศุกร์คือ 12,103.6 km (7,520.8 mi) ซึ่งเล็กกว่าโลกไป 638.4 km (396.7 mi) นอกจากนี้ยังมีมวล 81.5% ของมวลโลก อย่างไรก็ตามนั้น สภาวะบรรยากาศบนดาวศุกร์ต่างจากบนโลกอย่างมาก บรรยากาศของดาวศุกร์ประกอบด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 96.5% มีไนโตรเจนเพียง 3.5%[13] ความดันบรรยากาศและอุณหภูมิที่ผิวดาวศุกร์มีค่า 9.3 เมกะปาสกาล (93 บาร์) และ 737 K (464 °C; 867 °F) ตามลำดับ ซึ่งอยู่สูงกว่าจุดวิกฤตทางอุณหพลศาสตร์ เป็นเหตุให้บรรยากาศของดาวศุกร์มีลักษณะเป็นของไหลวิกฤตยวดยิ่ง

บรรยากาศและภูมิอากาศ

แก้
โครงสร้างเมฆของดาวศุกร์ ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2559

ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ดาวศุกร์มีบรรยากาศหนาแน่นมากถึงขั้นที่ว่าสสารในบรรยากาศเป็นของไหลวิกฤตยวดยิ่ง คือถูกอัดอย่างมากแต่ไม่ถึงกับเป็นของแข็ง[14] มวลของบรรยากาศของดาวศุกร์มีค่า 92 เท่าของโลก ส่วนความดันบรรยากาศบนดาวศุกร์พื้นผิวมีค่า 93 เท่าของโลก ซึ่งเทียบได้กับความดันในมหาสมุทรลึก 1 km (58 mi) บนโลก ความหนาแน่นบนพื้นผิวดาวศุกร์มีค่า 65 kg/m3 คือประมาณ 6.5% ของน้ำ หรือ 50 เท่าของความดันบรรยากาศโลกที่ระดับน้ำทะเลปานกลางอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส (293 เคลวิน; 20 องศาเซลเซียส; 68 องศาฟาเรนไฮต์)* ด้วยเหตุที่ดาวศุกร์มีคาร์บอนไดออกไซด์มาก ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงที่สุดในระบบสุริยะ อุณหภูมิบนดาวศุกร์สูงอย่างน้อย 462 องศาเซลเซียส (735 เคลวิน; 462 องศาเซลเซียส; 864 องศาฟาเรนไฮต์)*.[3][15] ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิพื้นผิวของดาวพุธ อนึ่ง ดาวพุธได้ฉายาว่า เตาไฟแช่แข็ง ด้วยเหตุที่อุณหภูมิพื้นผิวต่ำสุดมีค่า −220 องศาเซลเซียส (53 เคลวิน; −220 องศาเซลเซียส; −364 องศาฟาเรนไฮต์)* และอุณหภูมิสูงสุดมีค่า 427 องศาเซลเซียส (700 เคลวิน; 427 องศาเซลเซียส; 801 องศาฟาเรนไฮต์)*,[16][17] ดาวศุกร์มีระยะห่างจากดวงอาทิตย์เกือบสองเท่าของระยะห่างระหว่างดาวพุธกับดวงอาทิตย์ เป็นเหตุให้ดาวศุกร์ได้รับพลังงานจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ประมาณ 25% แต่กลับมีอุณหภูมิสูงมากก็ด้วยภาวะเรือนกระจก แก๊สในบรรยากาศกักความร้อนมิให้ออกจากบรรยากาศ ตารางต่อไปนี้แสดงอุณหภูมิที่ภาวะต่าง ๆ ของดาวศุกร์

อุณหภูมิดาวศุกร์
สภาวะ อุณหภูมิ
อุณหภูมิพื้นผิวสูงสุด 900°F (482°C)
อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ย 847°F (453°C)
อุณหภูมิพื้นผิวต่ำสุด 820°F (438°C)

[18]

บรรยากาศของดาวศุกร์อุดมไปด้วยแก๊สเฉื่อยเช่นเดียวกับบนโลก[19] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของดาวศุกร์ซึ่งก่อกำเนิดแบบเดียวกับโลก ในระยะแรกนักดาราศาสตร์เชื่อว่ามีน้ำในบรรยากาศดาวศุกร์แบบเดียวกับโลก[20] ต่อมาเมื่อดาวศุกร์ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ตลอดจนถึงเกิดภาวะเรือนกระจก ก็ทำให้น้ำในบรรยากาศดาวศุกร์อันตรธานหายไป[21] แม้ว่าอุณหภูมิบนดาวศุกร์จะไม่เอื้ออำนวยให้เกิดสิ่งมีชีวิต แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าเมฆชั้นบนที่ความสูง 50 km (30 mi) จากพื้นผิว ซึ่งมีอุณหภูมิ 30 และ 80 องศาเซลเซียส (303 และ 353 เคลวิน; 30 และ 80 องศาเซลเซียส; 86 และ 176 องศาฟาเรนไฮต์)* ก็อาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่ทนต่อกรดรุนแรงได้บ้างอาศัยอยู่[22][23][24]

บนดาวศุกร์ เหนือชั้นคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเมฆหนาซึ่งอุดมไปด้วยกรดซัลฟิวริกผสมกับน้ำ และมีเฟอร์ริกคลอไรด์ ประมาณ 1%[25][26] นอกจากนี้อาจมีเฟอร์ริกซัลเฟต อะลูมิเนียมคลอไรด์ และ ฟอสฟอริกแอนไฮไดรด์ เมฆของดาวศุกร์ที่ระดับความสูงต่างกันมีส่วนประกอบต่างกัน และมีการจำแนกขนาดอนุภาคไม่เหมือนกัน[25] เมฆเหล่านี้สะท้อนและกระเจิงแสงจากดวงอาทิตย์ประมาณ 90% ออกไป ทำให้ไม่สามารถมองเห็นผิวของดาวศุกร์ และทำให้พื้นผิวดาวศุกร์มืดมัวกว่าพื้นผิวโลก เหนือเมฆของดาวศุกร์มีลมพัดด้วยอัตราเร็วประมาณ 300 km/h (190 mph) ไปรอบดาวศุกร์โดยใช้เวลา 4-5 วันของโลก[27] บนดาวศุกร์อัตราเร็วลมมีค่าได้ถึง 60 เท่าของอัตราเร็วการหมุน แต่บนโลกลมที่แรงที่สุดมีอัตราประมาณ 10-20% ของอัตราเร็วการหมุนของโลก[28]

พื้นผิวดาวศุกร์มีสภาวะไอโซเทอร์มัล หมายถึง อุณหภูมิบนพื้นผิวมีค่าเท่ากันตลอดทั้งขั้วและเส้นศูนย์สูตร[29][30] มุมเอียงแกนของดาวศุกร์มีค่าน้อยกว่า 3° เมื่อเทียบกับโลกซึ่งมีมุมเอียง 23° ทำให้ไม่เกิดฤดูกาลบนดาวศุกร์[31] ความสูงจากพื้นผิวถือเป็นปัจจัยไม่กี่อย่างที่ส่งผลต่ออุณหภูมิบนผิวดาวศุกร์ จุดสูงสุดบนดาวศุกร์ คือภูเขาแม็กซเวลล์มอนทีส จัดเป็นจุดที่อุณหภูมิต่ำที่สุดบนดาวศุกร์ มีอุณหภูมิประมาณ 380 องศาเซลเซียส (653 เคลวิน; 380 องศาเซลเซียส; 716 องศาฟาเรนไฮต์)* และมีความดันบรรยากาศประมาณ 4.5 MPa (45 bar)[32][33]

ในปี พ.ศ. 2538 ยานอวกาศมาเจลลันถ่ายภาพที่เชื่อว่าเป็นหิมะบนภูเขาแม็กซเวลล์มอนทีส สสารดังกล่าวมีกระบวนการก่อตัวคล้ายหิมะแต่อยู่ในสภาพที่มีอุณหภูมิสูงมาก นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า สสารดังกล่าวอาจเป็นเทลลูเรียม หรือ กาลีนา (ตะกั่วซัลไฟด์)[34] ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ยานวีนัสเอ็กซเพรสค้นพบมวลอากาศเย็นที่ขั้วใต้ของดาวศุกร์[35][36] สี่ปีต่อมา ยานวีนัสเอ็กซเพรสยังค้นพบชั้นโอโซนในบรรยากาศของดาวศุกร์อีกด้วย[37]

ภูมิศาสตร์

แก้

พื้นผิวและสภาพภูมิศาสตร์ของดาวศุกร์เป็นที่สนใจใคร่รู้ของบรรดานักดาราศาสตร์ทั้งหลายจนกระทั่งมีการส่งยานอวกาศไปยังดาวศุกร์ ในปี พ.ศ. 2518 และ 2525 ยานเวเนราได้ส่งภาพพื้นผิวของดาวศุกร์มายังโลก ซึ่งประกอบด้วยตะกอนและหินเหลี่ยม[38] ต่อมายานมาเจลลัน ได้บันทึกภาพพื้นผิวของดาวศุกร์ในรายละเอียดระหว่าง พ.ศ. 2533-34 ทำให้เห็นถึงการเกิดภูเขาไฟจำนวนมากบนดาวศุกร์ ในบรรยากาศก็เต็มไปด้วยกำมะถัน ซึ่งอาจบ่งถึงการปะทุของภูเขาไฟบ่อยครั้ง[39][40]

พื้นผิวของดาวศุกร์ประมาณร้อยละ 80% เป็นพื้นผิวจากเถ้าภูเขาไฟ ในจำนวนนี้ 70% เป็นที่ราบและเนินลอนคลื่น และ 10% เป็นที่ราบเนินกลม[41] ส่วนที่เหลือเป็น "ทวีป" หรือที่ราบสูงสองแห่ง แห่งหนึ่งอยู่ซีกเหนือ อีกแห่งอยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรไปไม่ไกล ทวีปเหนือของดาวศุกร์เรียกว่า อิชตาร์เทอร์รา (Ishtar Terra) ตามชื่อของอินันนา เทพเจ้าแห่งความรัก มีขนาดประมาณทวีปออสเตรเลีย ทวีปนี้เป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุดบนดาวศุกร์ ชื่อว่า แม็กซเวลล์มอนทีส มีความสูงเฉลี่ยจากพื้นผิวปานกลาง 11 km (7 mi)[42] ทวีปใต้ของดาวศุกร์เรียกว่า อะโฟรไดต์เทอร์รา (Aphrodite Terra) ตามชื่อเทพีแห่งความรักของกรีก มีขนาดใหญ่กว่าทวีปเหนือ และมีขนาดประมาณทวีปอเมริกาใต้ ทวีปใต้ของดาวศุกร์ประกอบด้วยรอยเลื่อนและรอยแตกจำนวนมาก[43]

แม้ว่าดาวศุกร์จะมีหลุมภูเขาไฟจำนวนมาก แต่ร่องรอยการไหลของลาวากลับไม่ปรากฏชัดเจน พื้นผิวของดาวศุกร์มีหลุมอุกกาบาตน้อยมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผิวดาวศุกร์มีอายุไม่มากนัก ประมาณ 300-600 ล้านปี[44][45] เนื่องจากดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์หิน ทำให้มีหลุมอุกกาบาต ภูเขา หุบเขา รวมไปถึงภูเขาไฟยอดตัด เรียกว่า ฟาร์รา (farra) มีสัณฐานคล้ายขนมบ้าบิ่น และมีขนาดกว้างประมาณ 20 ถึง 50 km (12 ถึง 31 mi) สูงประมาณ 100 ถึง 1,000 m (330 ถึง 3,280 ft) นอกจากภูเขาไฟยอดตัด ก็มีโครงสร้างที่เรียกว่า โนวี (novae) ซึ่งคล้ายกับดาว โครงสร้างที่เรียกว่าอะแรกนอยด์ (arachnoid) ซึ่งคล้ายกับใยแมงมุม และโครงสร้างที่เรียกว่าโคโรนี (coronae) ลักษณะคล้ายวงแหวนมีแอ่งต่ำล้อมรอบ ลักษณะทางดาราธรณีวิทยาเหล่านี้ล้วนเกิดจากภูเขาไฟ [46]

บรรดาภูเขาและสิ่งต่าง ๆ บนพื้นผิวดาวศุกร์ ตั้งชื่อตามสตรีในประวัติศาสตร์และในเทพปกรณัม[47] ยกเว้น ภูเขาแม็กซเวลล์มอนทีสซึ่งตั้งชื่อตามนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ เจมส์ คลาร์ก แม็กซเวลล์ รวมถึงยกเว้นแอลฟาเรจิโอ เบตาเรจิโอ และโอฟดาเรจิโอ ซึ่งตั้งชื่อก่อนที่สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล จะกำหนดระบบใหม่ขึ้น[48]

ตำแหน่งเมอริเดียนหลักของดาวศุกร์นั้น เดิมทีกำหนดให้พาดผ่านขั้วทั้งสองและผ่านจุดอีฟ ซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้ของแอลฟาเรจิโอ[49] ต่อมาเมื่อยานเวเนราสำรวจดาวศุกร์สำเร็จแล้ว จึงปรับตำแหน่งเมอริเดียนหลักให้ผ่านยอดเขาซึ่งอยู่ในหลุมอาเรียด ซึ่งตั้งบนที่ราบต่ำเซดนาพลานิเทีย[50][51]

ยานวีนัสเอ็กซ์เพรสและยานมาเจลลันค้นพบว่า พื้นผิวบางส่วนของดาวศุกร์มีลักษณะบิดเบี้ยวมาก เรียกว่า เทสเซอรา เมื่อสังเกตโดยใช้การถ่ายภาพจะพบว่ามีสภาพแผ่ความร้อนน้อยกว่าที่ราบบะซอลต์ที่อยู่โดยรอบ[6][52]


ภูเขาไฟ

แก้

พื้นผิวของดาวศุกร์ส่วนใหญ่มีกำเนิดจากภูเขาไฟ ดาวศุกร์มีภูเขาไฟจำนวนมากกว่าโลกหลายเท่า โดยในจำนวนนี้ 167 ลูก มีขนาดกว้างมากกว่า 100 km (60 mi) ในขณะที่บนโลกภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่เท่านี้มีเพียงที่หมู่เกาะฮาวาย[46]: 154  เหตุที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะดาวศุกร์มีภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง แต่เป็นเพราะผิวดาวศุกร์มีอายุมากกว่าและมีกระบวนการพังทลายไม่เหมือนกัน ผิวโลกใต้ทะเลเมื่อถึงเวลาจะมุดลงใต้แผ่นทวีปอีกแผ่นและหลอมละลายกลับเป็นแมกมา ทำให้มีอายุเฉลี่ยประมาณร้อยล้านปีเท่านั้น[53] แต่บนดาวศุกร์ไม่ปรากฏการมุดตัว อายุของผิวดาวจึงมีมากกว่า ประมาณ 300-600 ล้านปี[44][46]

เนื่องจากดาวศุกร์มีภูเขาไฟจำนวนมาก การตรวจวัดปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์จึงแปรไปตามเวลา โดยพบว่า ระหว่าง พ.ศ. 2521 ถึง 2529 ปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลดลงประมาณ 10 เท่า ก่อนจะเพิ่มในปี พ.ศ. 2549 ก่อนจะลดลงไปอีก 10 เท่า [54] จากข้อมูลข้างต้นทำให้สังเกตว่า มีการระเบิดของภูเขาไฟหลายครั้งเป็นระยะ ๆ[55][56] นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า การระเบิดของภูเขาไฟบนดาวศุกร์เป็นผลให้เกิดฟ้าผ่าบนดาวศุกร์อีกด้วย ในเดือนมกราคม 2563 นักดาราศาสตร์ได้รายงานหลักฐานที่บ่งชี้ว่าดาวศุกร์เป็นดาวที่มีภูเขาไฟปะทุตลอดเวลา โดยเฉพาะการตรวจพบโอลิวีน ซึ่งเป็นผลผลิตจากภูเขาไฟที่สลายตัวง่ายเมื่อปะทุแล้ว[57][58]

บรรยากาศ

แก้
 
หลุมอุกกาบาตบนดาวศุกร์

บรรยากาศของดาวศุกร์ ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 97% ไนโตรเจน 3.5% ซัลเฟอร์ไดออกไซด์และ อาร์กอน 0.5% มีชั้นเมฆคาร์บอนไดออกไซด์ที่หนาทึบมาก ปกคลุมดาวศุกร์ทั้งดวงทำให้สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี จึงเห็นดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่สว่างสุกใสมาก และยานอวกาศที่ไปสำรวจดาวศุกร์ก็ไม่สามารถถ่ายภาพพื้นผิว โดยตรงได้ ต้องอาศัยคลื่นเรดาห์ผ่านทะลุชั้นเมฆแล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์อีกครั้ง


อุณหภูมิของดาวศุกร์ ด้วยชั้นเมฆหนาของดาวศุกร์ทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจก อุณหภูมิบนดาวศุกร์สูงมาก ประมาณ 400 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน [59]

การเคลื่อนที่

แก้
ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองในทิศทางที่ต่างจากดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ในระบบสุริยะ

ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลานานกว่าการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ และถ้าเราอยู่บนดาวศุกร์เวลา 1 วัน จะไม่ยาวเท่ากับเวลาที่ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ นี่คือลักษณะพิเศษที่ดาวศุกร์ไม่เหมือนดาวเคราะห์ดวงใดๆ นอกจากนี้ดาวศุกร์ยังหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือหมุนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ในขณะที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ดาวศุกร์จึงหมุนสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และหมุนสวนทางกับการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองรอบละ 243 วัน แต่ 1 วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก เพราะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกยาวนาน 58.5 วันของโลก ดาวศุกร์เคลื่อนรอบดวงอาทิตย์รอบละ 225 วัน 1 ปีของดาวศุกร์จึงยาวนาน 225 วันของโลก [60]

ยานอวกาศสำรวจดาวศุกร์

แก้

ยานอวกาศที่สำรวจดาวศุกร์ มีด้วยกันหลายลำได้แก่

  1. มาริเนอร์ 2 เมื่อ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2505
  2. เวเนรา 4 เมื่อ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2510
  3. เวเนรา 7 เมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2513
  4. มาริเนอร์ 10 เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517
  5. เวเนรา 9 เมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2518
  6. เวเนรา 15 เมื่อ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2526
  7. ไพโอเนียร์-วีนัส 2 เมื่อ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2521
  8. แมกเจลแลน เมื่อ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2533 [61]

อ้างอิง

แก้
  1. Lawrence, Pete (2005). "In Search of the Venusian Shadow". Digitalsky.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 June 2012. สืบค้นเมื่อ 13 June 2012.
  2. Walker, John. "Viewing Venus in Broad Daylight". Fourmilab Switzerland. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2017. สืบค้นเมื่อ 19 April 2017.
  3. 3.0 3.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ nasa_venus
  4. Castro, Joseph (3 February 2015). "What Would It Be Like to Live on Venus?". Space.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 March 2018. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018.
  5. "Moons". NASA Solar System Exploration. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 October 2019. สืบค้นเมื่อ 2019-08-26.
  6. 6.0 6.1 Hashimoto, G. L.; Roos-Serote, M.; Sugita, S.; Gilmore, M. S.; Kamp, L. W.; Carlson, R. W.; Baines, K. H. (2008). "Felsic highland crust on Venus suggested by Galileo Near-Infrared Mapping Spectrometer data". Journal of Geophysical Research: Planets. 113 (E9): E00B24. Bibcode:2008JGRE..113.0B24H. doi:10.1029/2008JE003134. S2CID 45474562.
  7. Shiga, David (10 October 2007). "Did Venus's ancient oceans incubate life?". New Scientist. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 March 2009. สืบค้นเมื่อ 17 September 2017.
  8. Jakosky, Bruce M. (1999). "Atmospheres of the Terrestrial Planets". ใน Beatty, J. Kelly; Petersen, Carolyn Collins; Chaikin, Andrew (บ.ก.). The New Solar System (4th ed.). Boston: Sky Publishing. pp. 175–200. ISBN 978-0-933346-86-4. OCLC 39464951.
  9. "Caught in the wind from the Sun". European Space Agency. 28 November 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 August 2011. สืบค้นเมื่อ 12 July 2008.
  10. Evans, James (1998). The History and Practice of Ancient Astronomy. Oxford University Press. pp. 296–7. ISBN 978-0-19-509539-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 December 2020. สืบค้นเมื่อ 4 February 2008.
  11. เทพย์ สาริกบุตร และคณะ. ตำราพรหมชาติ ฉบับหลวง. กรุงเทพฯ: สำนักงานลูก ส. ธรรมภักดี, ม.ป.ป.
  12. Lopes, Rosaly M. C.; Gregg, Tracy K. P. (2004). Volcanic worlds: exploring the Solar System's volcanoes. Springer Publishing. p. 61. ISBN 978-3-540-00431-8.
  13. "Venus". Encyclopedia of Science. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2021. สืบค้นเมื่อ 27 September 2020.
  14. Taylor, Fredric W. (2014). "Venus: Atmosphere". ใน Tilman, Spohn; Breuer, Doris; Johnson, T. V. (บ.ก.). Encyclopedia of the Solar System. Oxford: Elsevier Science & Technology. ISBN 978-0-12-415845-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2021. สืบค้นเมื่อ 12 January 2016.
  15. "Venus". Case Western Reserve University. 13 September 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 April 2012. สืบค้นเมื่อ 21 December 2011.
  16. Lewis, John S. (2004). Physics and Chemistry of the Solar System (2nd ed.). Academic Press. p. 463. ISBN 978-0-12-446744-6.
  17. Prockter, Louise (2005). "Ice in the Solar System" (PDF). Johns Hopkins APL Technical Digest. 26 (2): 175–188. S2CID 17893191. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 20 September 2019. สืบค้นเมื่อ July 27, 2009.
  18. "Archived copy". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2021. สืบค้นเมื่อ 17 August 2021.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)
  19. Halliday, Alex N. (2013-03-15). "The origins of volatiles in the terrestrial planets". Geochimica et Cosmochimica Acta (ภาษาอังกฤษ). 105: 146–171. Bibcode:2013GeCoA.105..146H. doi:10.1016/j.gca.2012.11.015. ISSN 0016-7037. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2021. สืบค้นเมื่อ 14 July 2020.
  20. Grinspoon, David H.; Bullock, M. A. (October 2007). "Searching for Evidence of Past Oceans on Venus". Bulletin of the American Astronomical Society. 39: 540. Bibcode:2007DPS....39.6109G.
  21. Kasting, J. F. (1988). "Runaway and moist greenhouse atmospheres and the evolution of Earth and Venus". Icarus. 74 (3): 472–494. Bibcode:1988Icar...74..472K. doi:10.1016/0019-1035(88)90116-9. PMID 11538226. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2019. สืบค้นเมื่อ 25 June 2019.
  22. Mullen, Leslie (13 November 2002). "Venusian Cloud Colonies". Astrobiology Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2014.
  23. Landis, Geoffrey A. (July 2003). "Astrobiology: The Case for Venus" (PDF). Journal of the British Interplanetary Society. 56 (7–8): 250–254. Bibcode:2003JBIS...56..250L. NASA/TM—2003-212310. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 August 2011.
  24. Cockell, Charles S. (December 1999). "Life on Venus". Planetary and Space Science. 47 (12): 1487–1501. Bibcode:1999P&SS...47.1487C. doi:10.1016/S0032-0633(99)00036-7.
  25. 25.0 25.1 Krasnopolsky, V. A.; Parshev, V. A. (1981). "Chemical composition of the atmosphere of Venus". Nature. 292 (5824): 610–613. Bibcode:1981Natur.292..610K. doi:10.1038/292610a0. S2CID 4369293.
  26. Krasnopolsky, Vladimir A. (2006). "Chemical composition of Venus atmosphere and clouds: Some unsolved problems". Planetary and Space Science. 54 (13–14): 1352–1359. Bibcode:2006P&SS...54.1352K. doi:10.1016/j.pss.2006.04.019.
  27. W. B. Rossow; A. D. del Genio; T. Eichler (1990). "Cloud-tracked winds from Pioneer Venus OCPP images". Journal of the Atmospheric Sciences. 47 (17): 2053–2084. Bibcode:1990JAtS...47.2053R. doi:10.1175/1520-0469(1990)047<2053:CTWFVO>2.0.CO;2. ISSN 1520-0469.
  28. Normile, Dennis (7 May 2010). "Mission to probe Venus's curious winds and test solar sail for propulsion". Science. 328 (5979): 677. Bibcode:2010Sci...328..677N. doi:10.1126/science.328.5979.677-a. PMID 20448159.
  29. Williams, David R. (25 November 2020). "Venus Fact Sheet". NASA Goddard Space Flight Center. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2018. สืบค้นเมื่อ 2021-04-15.
  30. Lorenz, Ralph D.; Lunine, Jonathan I.; Withers, Paul G.; McKay, Christopher P. (2001). "Titan, Mars and Earth: Entropy Production by Latitudinal Heat Transport" (PDF). Ames Research Center, University of Arizona Lunar and Planetary Laboratory. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2018. สืบค้นเมื่อ 21 August 2007.
  31. "Interplanetary Seasons". NASA Science. NASA. Jun 19, 2000. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-04-14.
  32. Basilevsky A. T.; Head J. W. (2003). "The surface of Venus". Reports on Progress in Physics. 66 (10): 1699–1734. Bibcode:2003RPPh...66.1699B. doi:10.1088/0034-4885/66/10/R04. S2CID 13338382. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2021. สืบค้นเมื่อ 2 December 2019.
  33. McGill, G. E.; Stofan, E. R.; Smrekar, S. E. (2010). "Venus tectonics". ใน T. R. Watters; R. A. Schultz (บ.ก.). Planetary Tectonics. Cambridge University Press. pp. 81–120. ISBN 978-0-521-76573-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 June 2016. สืบค้นเมื่อ 18 October 2015.
  34. Otten, Carolyn Jones (2004). ""Heavy metal" snow on Venus is lead sulfide". Washington University in St Louis. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 April 2008. สืบค้นเมื่อ 21 August 2007.
  35. Hand, Eric (November 2007). "European mission reports from Venus". Nature (450): 633–660. doi:10.1038/news.2007.297. S2CID 129514118.
  36. Staff (28 November 2007). "Venus offers Earth climate clues". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2009. สืบค้นเมื่อ 29 November 2007.
  37. "ESA finds that Venus has an ozone layer too". European Space Agency. 6 October 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 January 2012. สืบค้นเมื่อ 25 December 2011.
  38. Mueller, Nils (2014). "Venus Surface and Interior". ใน Tilman, Spohn; Breuer, Doris; Johnson, T. V. (บ.ก.). Encyclopedia of the Solar System (3rd ed.). Oxford: Elsevier Science & Technology. ISBN 978-0-12-415845-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2021. สืบค้นเมื่อ 12 January 2016.
  39. Esposito, Larry W. (9 March 1984). "Sulfur Dioxide: Episodic Injection Shows Evidence for Active Venus Volcanism". Science. 223 (4640): 1072–1074. Bibcode:1984Sci...223.1072E. doi:10.1126/science.223.4640.1072. PMID 17830154. S2CID 12832924. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2021. สืบค้นเมื่อ 2 December 2019.
  40. Bullock, Mark A.; Grinspoon, David H. (มีนาคม 2001). "The Recent Evolution of Climate on Venus" (PDF). Icarus. 150 (1): 19–37. Bibcode:2001Icar..150...19B. CiteSeerX 10.1.1.22.6440. doi:10.1006/icar.2000.6570. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 ตุลาคม 2003.
  41. Basilevsky, Alexander T.; Head, James W. III (1995). "Global stratigraphy of Venus: Analysis of a random sample of thirty-six test areas". Earth, Moon, and Planets. 66 (3): 285–336. Bibcode:1995EM&P...66..285B. doi:10.1007/BF00579467. S2CID 21736261.
  42. Jones, Tom; Stofan, Ellen (2008). Planetology: Unlocking the Secrets of the Solar System. National Geographic Society. p. 74. ISBN 978-1-4262-0121-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2017. สืบค้นเมื่อ 20 April 2017.
  43. Kaufmann, W. J. (1994). Universe. New York: W. H. Freeman. p. 204. ISBN 978-0-7167-2379-0.
  44. 44.0 44.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Nimmo98
  45. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Strom1994
  46. 46.0 46.1 46.2 Frankel, Charles (1996). Volcanoes of the Solar System. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-47770-3.
  47. Batson, R.M.; Russell J. F. (18–22 March 1991). "Naming the Newly Found Landforms on Venus" (PDF). Proceedings of the Lunar and Planetary Science Conference XXII. Houston, Texas. p. 65. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 May 2011. สืบค้นเมื่อ 12 July 2009.
  48. Carolynn Young, บ.ก. (1 August 1990). The Magellan Venus Explorer's Guide. California: Jet Propulsion Laboratory. p. 93. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 December 2016. สืบค้นเมื่อ 13 January 2016.
  49. Davies, M. E.; Abalakin, V. K.; Bursa, M.; Lieske, J. H.; Morando, B.; Morrison, D.; Seidelmann, P. K.; Sinclair, A. T.; Yallop, B.; Tjuflin, Y. S. (1994). "Report of the IAU Working Group on Cartographic Coordinates and Rotational Elements of the Planets and Satellites". Celestial Mechanics and Dynamical Astronomy. 63 (2): 127–148. Bibcode:1996CeMDA..63..127D. doi:10.1007/BF00693410. S2CID 189850694.
  50. Kenneth Seidelmann, P.; Archinal, B. A.; A’hearn, M. F.; Conrad, A.; Consolmagno, G. J.; Hestroffer, D.; Hilton, J. L.; Krasinsky, G. A.; Neumann, G.; Oberst, J.; Stooke, P.; Tedesco, E. F.; Tholen, D. J.; Thomas, P. C.; Williams, I. P. (July 2007). "Report of the IAU/IAG Working Group on cartographic coordinates and rotational elements: 2006". Celestial Mechanics and Dynamical Astronomy. 98 (3): 155–180. Bibcode:2007CeMDA..98..155S. doi:10.1007/s10569-007-9072-y.
  51. Carolynn Young, บ.ก. (1 August 1990). The Magellan Venus Explorer's Guide. California: Jet Propulsion Laboratory. pp. 99–100. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 December 2016. สืบค้นเมื่อ 13 January 2016.
  52. Helbert, Jörn; Müller, Nils; Kostama, Petri; Marinangeli, Lucia; Piccioni, Giuseppe; Drossart, Pierre (2008). "Surface brightness variations seen by VIRTIS on Venus Express and implications for the evolution of the Lada Terra region, Venus". Geophysical Research Letters (ภาษาอังกฤษ). 35 (11): L11201. Bibcode:2008GeoRL..3511201H. doi:10.1029/2008GL033609. ISSN 1944-8007.
  53. Karttunen, Hannu; Kroger, P.; Oja, H.; Poutanen, M.; Donner, K. J. (2007). Fundamental Astronomy. Springer. p. 162. ISBN 978-3-540-34143-7.
  54. Bauer, Markus (3 December 2012). "Have Venusian volcanoes been caught in the act?". European Space Agency. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-04-14.
  55. Glaze, Lori S. (August 1999). "Transport of SO2 by explosive volcanism on Venus". Journal of Geophysical Research. 104 (E8): 18899–18906. Bibcode:1999JGR...10418899G. doi:10.1029/1998JE000619.
  56. Marcq, Emmanuel; Bertaux, Jean-Loup; Montmessin, Franck; Belyaev, Denis (January 2013). "Variations of sulfur dioxide at the cloud top of Venus's dynamic atmosphere". Nature Geoscience. 6 (1): 25–28. Bibcode:2013NatGe...6...25M. doi:10.1038/ngeo1650. S2CID 59323909. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2021. สืบค้นเมื่อ 2 December 2019.
  57. Hall, Sannon (9 January 2020). "Volcanoes on Venus Might Still Be Smoking - Planetary science experiments on Earth suggest that the sun's second planet might have ongoing volcanic activity". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 January 2020. สืบค้นเมื่อ 10 January 2020.
  58. Filiberto, Justin (3 January 2020). "Present-day volcanism on Venus as evidenced from weathering rates of olivine". Science. 6 (1): eaax7445. Bibcode:2020SciA....6.7445F. doi:10.1126/sciadv.aax7445. PMC 6941908. PMID 31922004.
  59. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2010-12-24.
  60. http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/phitsanulok/suwicha_p/venus.html
  61. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2010-12-24.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้