เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ (อังกฤษ: The Most Admirable Order of the Direkgunabhorn) เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 เพื่อพระราชทานแก่ผู้กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน แบ่งออกเป็น 7 ชั้น พระราชทานแก่บุรุษและสตรีตามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร หรือผ่านการเสนอชื่อผู้ที่สมควรได้รับจากรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐเพื่อขอพระราชทานต่อไป[1]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่ง ดิเรกคุณาภรณ์ | |
---|---|
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ | |
มอบโดย พระมหากษัตริย์ไทย | |
ประเภท | สายสะพายพร้อมดารา, ดวงตราพร้อมดารา, ดวงตรา, เหรียญ (7 ชั้น) |
วันสถาปนา | พ.ศ. 2534 |
ประเทศ | ราชอาณาจักรไทย |
จำนวนสำรับ | ไม่จำกัดจำนวน |
ผู้สมควรได้รับ | บุคคลทั่วไปซึ่งมีผลงานดีเด่น/เป็นบางอย่าง อันควรแก่การสรรเสริญและเป็นสาธารณประโยชน์ หรือผู้บริจาคเงิน/ทรัพย์สิน เพื่อการสาธารณประโยชน์ |
มอบเพื่อ | ความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน |
สถานะ | ยังพระราชทานอยู่ |
ผู้สถาปนา | พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร |
ประธาน | พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว |
สถิติการมอบ | |
รายแรก | สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 3 ธันวาคม พ.ศ. 2538 |
รายล่าสุด | 5 สิงหาคม พ.ศ. 2566 |
ลำดับเกียรติ | |
สูงกว่า | เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย |
รองมา | เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ |
หมายเหตุ | รัฐบาลไทยเป็นผู้เสนอชื่อเพื่อขอรับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ |
ประวัติ
แก้แต่เดิมนั้นรัฐบาลจะขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับบุคคลซึ่งกระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน 2 ตระกูล ได้แก่ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย แต่เนื่องจากบุคคลซึ่งกระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชนนั้นมากขึ้นเป็นลำดับ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใหม่ขึ้น เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 นามว่า "เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์" สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความดีความชอบแก่บุคคลที่ทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นการเฉพาะ โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเป็นองค์ประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ได้[2]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้อนุญาตให้หน่วยงานรัฐหรือรัฐบาลเสนอชื่อบุคคลที่สมควรเพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ได้[1]เช่นเดียวกันกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย
ประเภท ลำดับชั้น และ ลำดับเกียรติ
แก้เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 7 ชั้น ได้แก่[2]
แพรแถบย่อ | ดุมเสื้อ | ชั้น | ชื่อ | อักษรย่อ | มูลค่าทรัพย์สิน หรือ เงินบริจาค |
ลำดับ เกียรติ[3] |
---|---|---|---|---|---|---|
ชั้นที่ 1 | ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ | ป.ภ. | 30,000,000 | 12 | ||
ชั้นที่ 2 | ทุติยดิเรกคุณาภรณ์ | ท.ภ. | 14,000,000 | 17 | ||
ชั้นที่ 3 | ตติยดิเรกคุณาภรณ์ | ต.ภ. | 6,000,000 | 25 | ||
ชั้นที่ 4 | จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ | จ.ภ. | 1,500,000 | 30 | ||
ชั้นที่ 5 | เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ | บ.ภ. | 500,000 | 35 | ||
ไม่มี | ชั้นที่ 6 | เหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ | ร.ท.ภ. | 200,000 | 54 | |
ชั้นที่ 7 | เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ | ร.ง.ภ. | 100,000 | 57 |
ลักษณะ
แก้ชั้นที่ 1 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์
แก้ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ มีอักษรย่อว่า ป.ภ. มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 12 จาก 36 ลำดับ[4] ประกอบด้วยดวงตรา ดารา และสายสะพาย สำหรับสตรีนั้นดวงตรา ดารา และสายสะพาย จะมีลักษณะเหมือนที่พระราชทานแก่บุรุษทุกประการ แต่จะมีขนาดย่อมกว่า โดยมีลักษณะ ดังนี้
- ดวงตรา มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร
- ด้านหน้า มีรูปครุฑพ่าห์สีทองอยู่ในวงกลม พื้นลงยาสีแดง ขอบเป็นสร่งเงิน รอบนอกมีกระจังเงินแปดทิศ และมีเปลวรัศมีทองแทรกตามระหว่าง เบื้องบนมีพระมหามงกุฎทองมีรัศมี ห้อยกับสายสะพาย
- ด้านหลัง เป็นดุมสีทอง มีอักษรพระปรมาภิไธยย่อ "ภ.ป.ร." ลงยาสีขาว
ใช้สำหรับประดับห้อยกับสายสะพาย ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร สีเขียว ริมสีแดงชาด มีริ้วสีขาวและสีเหลืองขนาดเล็กควบคั่นทั้งสองข้าง สะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย
- ดารา มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 เซนติเมตร มีลักษณะเหมือนดวงตรา แต่เบื้องบนมีพระมหามงกุฎและอุณาโลมสีทองขอบเป็นสร่งทอง รอบนอกมีกระจังเงินแปดทิศ มีรัศมีทองแทรกตามระหว่าง ด้านหลังเป็นดุมสีทองอย่างดวงตรา ใช้สำหรับประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
ชั้นที่ 2 ทุติยดิเรกคุณาภรณ์
แก้ทุติยดิเรกคุณาภรณ์ มีอักษรย่อว่า ท.ภ. มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 17 จาก 36 ลำดับ[4] ประกอบด้วยดวงตรา ดารา และแพรแถบ สำหรับสตรีนั้นดวงตราและดารา จะมีลักษณะเหมือนที่พระราชทานแก่บุรุษทุกประการ แต่จะมีขนาดย่อมกว่า โดยมีลักษณะ ดังนี้
- ดวงตรา
- ด้านหน้า มีรูปครุฑพ่าห์สีทองอยู่ในวงกลม พื้นลงยาสีแดง ขอบเป็นสร่งเงิน รอบนอกมีกระจังเงินแปดทิศและมีเปลวรัศมีทองแทรกตามระหว่าง
- ด้านหลัง เป็นดุมสีทอง มีอักษรพระปรมาภิไธยย่อ "ภ.ป.ร." ลงยาสีขาว เบื้องบนมีพระมหามงกุฎทอง มีรัศมี
- สำหรับบุรุษ ดวงตราจะห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง 4 เซนติเมตร สีเขียว ริมสีแดงชาด มีริ้วสีขาวและสีเหลืองขนาดเล็กควบคั่นทั้งสองข้าง ใช้สำหรับสวมคอ
- สำหรับสตรี ดวงตราจะห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ แล้วประดับไว้บนเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย
- ดารา มีลักษณะเหมือนอย่างดวงตรา แต่เบื้องบนมีพระมหามงกุฎและอุณาโลมสีทอง ขอบเป็นสร่งเงิน รอบนอกมีกระจังเงินแปดทิศ มีรัศมีทองแทรกตามระหว่าง ด้านหลังเป็นดุมสีทองอย่างดวงตรา ใช้สำหรับประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
ชั้นที่ 3 ตติยดิเรกคุณาภรณ์
แก้ตติยดิเรกคุณาภรณ์ มีอักษรย่อว่า ต.ภ. มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 25 จาก 36 ลำดับ[4] ประกอบด้วย ดวงตรา มีลักษณะอย่างทุติยดิเรกคุณาภรณ์
- สำหรับบุรุษ ใช้ห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง 4 เซนติเมตร สำหรับสวมคอ
- สำหรับสตรี ใช้ห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย
ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์
แก้จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ มีอักษรย่อว่า จ.ภ. มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 30 จาก 36 ลำดับ[4] ประกอบด้วย ดวงตรา มีลักษณะอย่างตติยดิเรกคุณาภรณ์ แต่ขนาดย่อมกว่า
- สำหรับบุรุษ ใช้ห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร มีดอกไม้จีบติดบนแพรแถบ ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
- สำหรับสตรี ใช้ห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย
ชั้นที่ 5 เบญจมดิเรกคุณาภรณ์
แก้เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ มีอักษรย่อว่า บ.ภ. มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 35 จาก 36 ลำดับ[4] ประกอบด้วย ดวงตรา มีลักษณะอย่างจตุตถดิเรกคุณาภรณ์
- สำหรับบุรุษ ใช้ห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร แต่ไม่มีดอกไม้จีบติดบนแพรแถบ ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
- สำหรับสตรี ใช้ห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย
ชั้นที่ 6 เหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์
แก้เหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ มีอักษรย่อว่า ร.ท.ภ. เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 6 ในหมู่เหรียญบำเหน็จในราชการ[4] ประกอบด้วย
- ดวงตรา เป็นเหรียญรูปกลมสีทอง ด้านหน้ามีรูปครุฑพ่าห์อยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยกระจังกลีบบัวแปดกลีบ เบื้องบนมีพระมหามงกุฎ มีรัศมีและอุณาโลม ด้านหลังมีอักษรพระปรมาภิไธยย่อ "ภ.ป.ร."
- สำหรับบุรุษ ใช้ห้อยกับแพรแถบขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร สีเขียว ริมสีแดงชาด มีริ้วสีขาวและสีเหลืองขนาดเล็กควบคั่นทั้งสองข้าง ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
- สำหรับสตรี ใช้ห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย
ชั้นที่ 7 เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์
แก้เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ มีอักษรย่อว่า ร.ง.ภ. เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติอยู่ในลำดับที่ 9 ในหมู่เหรียญบำเหน็จในราชการ[4] ประกอบด้วย ดวงตรา เป็นเหรียญรูปกลมสีเงิน มีลักษณะและวิธีการประดับอย่างเดียวกับเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์
- ↑ 2.0 2.1 พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๔, เล่ม ๑๐๘, ตอน ๑๒๗ ก ฉบับพิเศษ, ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๔, หน้า ๑
- ↑ "ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-06-01. สืบค้นเมื่อ 2021-07-29.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย เก็บถาวร 2011-11-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๑๐, ตอน ๒๙ง ฉบับพิเศษ, ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖, หน้า ๑
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ เก็บถาวร 2007-12-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จาก สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
- ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การปรับราคาชดใช้แทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ไม่สามารถส่งคืนตามกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๒๕๕๓, เล่ม ๑๒๕, ตอน พิเศษ ๔๙ ง, ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑, หน้า ๘