ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วัดกลาง"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
* [[วัดกลาง |
* [[ วัดกลางสุรินทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ]] |
||
วัดกลาง |
ประวัติวัดกลางสุรินทร์ |
||
วัดกลาง ตั้งอยู่ที่บ้านบางพระ ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย |
|||
ประวัติและภูมิศาสตร์เมืองสุรินทร์(ย่อ) |
|||
วัดกลาง ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ |
|||
ก่อนกล่าวถึงเรื่องวัดกลาง ใคร่กล่าวถึงภูมิประเทศของเมืองสุรินทร์ อันเป็นมูลแห่งการสร้างวัดกลางตามควรแก่กรณี |
|||
เมืองสุรินทร์เป็นเมืองโบราณ มีชื่อเรียกว่า คูประทาย หรือ ไผทสมัน มีกำแพงและคูล้อมชั้นใน เป็นรูปวงกลม วัดผ่าศูนย์กลางจากตะวันออกสู่ตะวันตกประมาณ ๒๒ เส้นจากทิศเหนือจดใต้ประมาณ ๒๖ เส้น มีกำแพงและคูชั้นนอกอีกชั้นหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมวงรี ๆ รวมเป็นกำแพง ๒ ชั้น ภูมิประเทศภายในเขตกำแพงชั้นในส่วนมากเป็นที่ลุ่ม บางแห่งมีน้ำขังอยู่ตลอดฤดูหนาว ที่เป็นเนินมีบริเวณจากซอยตาดอกทอดไปทางทิศตะวันออกจดวัดบูรพารามด้านทิศใต้แค่บริเวณถนนหลักเมือง เนินที่สูงสุดตรงบริเวณทิศใต้ตลาดเทศบาล ชาวบ้านเรียกคนแถบนี้ว่า “คุ้มโคกสูง” |
|||
วัดที่มีอยู่ในตัวเมืองสุรินทร์ ที่เป็นวัดโบราณเก่าแก่มี ๙ วัด ที่สร้างขึ้นใหม่เฉพาะในเขตเทศบาลมี ๒ วัด วัดทั้ง ๑๐ นี้ตั้งอยู่ดังนี้ |
|||
วัดกลางและวัดบูรพาราม ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงชั้นใน วัดจำปา, วัดศาลาลอย วัดจุมพลสุธาวาส, วัดพรหมสุรินทร์ และวัดโคกบัวราย (ตั้งใหม่) ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงชั้นนอกและวัดที่ตั้งอยู่นอกกำแพงชั้นนอกมี วัดหนองบัว, วัดประทุมเมฆ และวัดเทพสุรินทร์ (สร้างใหม่) วัดทั้ง ๘ ล้วนเป็นวัดโบราณไม่มีประวัติจารึกว่า วัดใดสร้างขึ้นเมื่อใดแน่นอน อนึ่ง ภายในเขตกำแพงและคูเมืองชั้นใน มีที่พอสันนิษฐานว่า เคยเป็นวัดมาก่อน ๔ แห่งคือ |
|||
๑)ในพื้นที่บริเวณตั้งโรงเรียนสุรินทร์ราษฏร์บำรุง มีซากอิฐเก่าแก่มาก่อนเคยมีต้นโพธิ์ปรากฏมาแต่เดิม ชาวบ้านแห่งนี้ว่า ”โคกโพธิ์” |
|||
๒)ในพื้นที่ตั้งโกลเด้นท์ไนคลับ มีซากอิฐเป็นมาก่อน บางคนว่าเคยเป็นวัดบางคนว่า น่าจะเป็นเทวาลัย เพราะมีอิฐกองเป็นกลุ่มขนาดย่อม ชาวบ้านเรียกที่แห่งนี้ว่า “โพธิ์ร้าง” ขณะนี้ต้นโพธิ์ยังมีอยู่ |
|||
๓)ที่ตั้งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุรินทร์ เคยมีต้นโพธิ์ใหญ่ มีซากอิฐมาก่อนผู้แก่ผู้เฒ่าเล่ากันว่า เป็นวัดมาก่อน แต่ย้ายออกไปทางทิศใต้ พ้นเขตกำแพงชั้นนอกและต่อมาก็ย้ายกลับมาภายในกำแพงชั้นนอก คือวัดจุมพลสุทธาวาสปัจจุบันนี้ ณ ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนี้ ชาวบ้านเรียกว่า “โคกโพธิ์สามต้น” |
|||
๔)ณ ที่เนินนอกกำแพงชั้นใน ตรงใกล้มุมกำแพงเมืองด้านตะวันตกเฉียงใต้เคยเป็นวัดมาก่อนเรียกว่า วัดศาลาแดง ต่อมาวัดนี้ย้ายขยับมาทางทิศตะวันออก คือวัดพรหมสุรินทร์ปัจจุบันนี้ ที่บริเวณวัดศาลาแดง ทางวัดพรหมสุรินทร์ ถือว่าเป็นธรณีสงฆ์ของวัด แต่ชาวบ้านก็ยึดครองปลูกบ้านเรือนอยู่ ไม่ยอมรับรู้ว่าเป็นธรณีสงฆ์ของวัด |
|||
การก่อตั้งวัดกลางสุรินทร์ |
|||
วัดกลางสุรินทร์ ได้เริ่มสร้างขึ้นเมื่อใดใครเป็นผู้สร้าง เจ้าอาวาสองค์แรกและองค์ต่อ ๆ มามีชื่ออย่างไรบ้าง ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแต่สถานที่ตั้งวัดนั้นพอมีเหตุผลที่น่าเชื่อดังนี้เมืองสุรินทร์มีกำเนิดมาแต่ครั้งใด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า หลายร้อยปีมาแล้วโดยมีชื่อเดิมว่า ไผทสมัน ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๐๖ เชียงปุมซึ่งเดิมอยู่บ้านเมืองที ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระสุรินทร์ภักดี และย้ายมาอยู่ที่ไผทสมัน เมืองนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองสุรินทร์ ตามบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองในการอพยบครั้งแรก สันนิษฐานว่า ได้เริ่มกำหนดตั้งสถานที่หลักเมืองขึ้นโดยถือเนื้อที่ส่วนกลางของเมืองจริง ๆ กล่าวคือประมาณอาณาเขตภายในคูกำแพงเมืองชั้นใน จากทิศตะวันออกจดทิศตะวันตก และจากทิศเหนือจดทิศใต้ มีศูนย์กลางตรงที่ตั้งหลักเมืองในปัจจุบันพอดี ถนนสายนี้เกิดขึ้นในสมัยหลังส่วนจวนเจ้าเมืองนั้น ตั้งเยืองจากศาลเจ้าหลักเมืองมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงบริเวณตลาดเก่า ตรงหน้าวัดกลางปัจจุบัน หรือบริเวณหลังโรงแรมโมเมเรียลทั้งหมดเป็นบริเวณจวนเจ้าเมืองมาแต่เดิม แต่ปัจจุบันนี้เป็นที่ของเอกชนหมดแล้ว |
|||
วัดกลาง น่าจะเริ่มได้รับการก่อสร้างขึ้นในสมัยนี้ ทั้งนี้เนื่องจากตั้งในเนื้อที่แนวเดียวกับจวนเจ้าเมือง ด้านทิศตะวันออกขนานกับจวนเจ้าเมือง โดยมีทางขั้นกลางระหว่างจวนเจ้าเมืองกับวัด ปัจจุบันทางสายนี้ คือถนนธนสารซึ่งเป็นทางสายเดียว ที่ตัดกลางเมืองทอดจากกำแพงด้านเหนือจดด้านใต้ และมีถนนสายหลักเมืองผ่ากลางจากตะวันออกสู่ตะวันตก ตัดกันเป็นสี่แยกหลักเมือง ถนนสองสายนี้เป็นถนนดังเดิมของเมืองสุรินทร์ |
|||
การวางผังเมืองของเจ้าเมืองสุรินทร์ เข้าใจว่า ได้เพ่งถึงจุดศูนย์กลางของตัวเมืองและสร้างจวนในบริเวณดังกล่าว ที่แห่งนี้เป็นเนินสูง |
|||
ข้อยืนยันว่าเจ้าเมืองคนแรกสร้างวัดกลางสุรินทร์ |
|||
ข้อยืนยันว่า เจ้าเมืองสุรินทร์คนแรกเป็นผู้สร้างวัดกลาง มีเหตุผลประกอบดังนี้ |
|||
หลังจากเชียงปุมได้รับพระราชทานยศและตำแหน่ง กลับมาสู่บ้านเดิมที่เมืองที และเห็นว่าที่บ้านเมืองทีเป็นบ้านเล็ก ชัยภูมิไม่เหมาะสมจึงย้ายมาตั้งเมืองที่คูประทาย เมื่อกำหนดที่ตั้งจวนแล้วก็วางผังการสร้างวัดเคียงข้างกับเขตจวน ทางทิศตะวันออก |
|||
การตั้งวัดนี้ น่าจะเป็นการเลียนแบบข้าราชการทหารในสมัยนั้น ที่กลับจากการทำศึกสงครามก็มีการสร้างวัด ซึ่งการสร้างวัดนี้แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ก็สร้างมาก ข้าราชบริพารก็สร้างเช่นกัน จนมีคำกล่าวในสมัยนั้นว่า “สร้างวัดให้ลูกเล่น” เจ้าเมืองสุรินทร์ได้สร้างวัดขึ้นเป็นความนิยมตามสมัยนั้น เป็นการเลียนแบบจากส่วนกลางก็ได้เจ้าเมืองอาจตั้งความประสงค์ว่า เมื่อสร้างเมืองก็สร้างวัดเป็นคู่บ้านคู่เมืองด้วย จึงกำหนดพื้นที่วัดกลางติดกับเขตจวนการปฏิบัติราชการในสมัยนั้น ไม่มีศาลากลางเป็นเอกเทศใช้จวนเป็นที่ราชการด้วย เมื่อมีการชุมนุมเรื่องข้าราชการก็ใช้บริเวณวัดเป็นที่ชุมนุมเป็นความสะดวกสบายโดยตลอด วัดกลางได้เป็นที่ร่วมประชุมของทางราชการตลอดในสมัยนั้น รวมทั้งการระดมพลตามที่กล่าว ณ เบื้องต้นว่า เรื่องมีปรากฏซากอิฐเก่าที่ “โคกโพธิ์” คือบริเวณตั้งโรงเรียนราษฎร์บำรุงว่า เคยเป็นที่ตั้งวัดมาแต่เดิม เมื่อพระสุรินทร์มาสร้างเมืองแล้วเมื่อมีการวางผังเมืองและกำหนดที่วัด โดยท่านเจ้าเมืองอาจโยกย้ายวัดนี้มาตั้งเป็นวัดกลางก็ได้ ทั้งนี้โดยเหตุผลตามคติพื้นบ้านถือว่า การสร้างวัดต้องให้อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน จึงจะเป็นมงคล วัดอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ถือว่าเป็นอัปมงคล วัดอยู่ทางทิศเหนือหรือใต้หมู่บ้านไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย อาจจะเป็นเพราะเหตุที่เจ้าเมืองสร้างจวนอยู่ทางทิศตะวันออกวัด จึงย้ายวัดจากทิศตะวันตกมาตั้งทิศตะวันออก แต่ทั้งนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานอาจจะร้างไปเอง และวัดกลางก็อาจตั้งขึ้นใหม่ก็ได้ แต่เหตุผลที่ยืนยันมานั้นพอกล่าวได้ว่า วัดกลางเกิดในสมัยพระสุรินทร์คนแรกแน่นอน เพราะปรากฏเรื่องของเจ้าเมืองดังกล่าวแล้ว |
|||
ประเพณีที่เกิดขึ้นในวัด |
|||
วัดกลางสุรินทร์มีอุโบสถ สร้างด้วยอิฐโบกปูนแบบโบราณ ไม่มีปูนซีเมนต์เช่นปัจจุบัน เป็นโครงสวยงามในสมัยโบราณมาแล้ว วัดกลางเป็นศูนย์งานราชการ เช่นการเกณฑ์คนมาเพื่อกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง มีเกณฑ์ทหารเป็นต้น งานประเพณีของชาวบ้านที่ต้องชุมนุม และที่เกี่ยวกับด้านศาสนาดังนี้ |
|||
๑.ประเพณีการบวชนาค ในแต่ละปีนาคในเขตเมืองและจากตำบลต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงมีการนัดบวชพร้อมกัน โดยเจ้าเมืองเป็นผู้นัด ปกติก็นัดตั้งขบวนแห่ตระเวน ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เจ้าเมืองมีการเกณฑ์ช้าง ประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยเชือก แห่ไปสมทบที่ต่าง ๆ หนึ่งวันเป็นที่สนุกสนาน มีขบวนม้าล่อช้าง เกิดทั้งความสนุกสนานตื่นเต้น ตอนค่ำก็ทำพิธีเรียกขวัญ และเจริญพระพุทธมนต์สมโภช รุ่งเช้าขบวนในเมืองก็แห่ไปรับนาคจากข้างนอก เมื่อสมทบพร้อมกันแล้ว แห่ตระเวนนอกเมืองประมาณบ่าย นาคทั้งหลายก็พร้อมกันกราบลาเจ้าเมือง แล้วเข้าบวช เสร็จตอนดึกเลยเที่ยงคืนก็มีชาวบ้านเรียกการบวชนาคนี้ว่า “นาคหลวง วัดกลางถือว่าเป็นวัดหลวง” เพราะเป็นที่รวมชุมชนทุกอย่าง โดยเจ้าเมืองเป็นประธานในงานทุกอย่าง |
|||
๒.ประเพณีสงกรานต์ เมือถึงเดือน ๕ ชาวบ้านทุกคุ้มในเมืองร่วมขนทรายก่อเจดีย์ ณ วัดกลาง เป็นการประกวดประชันกันในการแต่งเจดีย์ทราย วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เป็นวันแต่งเจดีย์ทรายและสมโภช รุ่งเช้าทำบุญตักบาตร ตอนบ่ายเริ่มสรงน้ำพระโดยตระเวรไปตามวัดต่าง ๆ แล้วมารวมกัน ณ วักลางสุรินทร์ มีการละเล่นต่าง ๆ มีเล่นตรุษรำสาก เจรียง จรวง เจรียงนอระแก้ว เล่นซ้อนผ้าและสะบ้า ระหว่างหนุ่มสาวเป็นที่ครื้นเครง เป็นประจำทุกปี |
|||
๓.ประเพณีวันสารท วันดับเดือน ๑๐ ถือว่าเป็นวันสารท หลังจากการทำบุญจากทุกวัดก็มาชุมนุมกัน มีการกีฬาพื้นบ้าน เช่น ชักคะเย่อระหว่างหนุ่มสาว บางครั้งหนุ่ม ๆ อริก็เรียกตัวมาชกมวยกัน เป็นทั้งมวยธรรมดาและขึงเป็นเขตให้ชก หลังจากนั้นก็แนะนำให้มีความสามัคคีกัน เลิกโกรธแค้นพยาบาทกัน วัดกลางเหมือนสนามศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน |
|||
๔.พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา หลังจากสมัยเจ้าเมืองคนแรก วัดกลางยังเป็นศูนย์รวมประเพณีต่าง ๆ แม้ในสมัยต่อมาเมื่อทางราชการมีพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ก็ได้มาประกอบพิธี ณ วัดกลางเป็นเวลาหลายปี สมัยต่อมาวัดกลางก็ถึงความเจริญบ้าง เสื่อมบ้างตามยุคสมัย กล่าวคือยุคใดเจ้าอาวาสมีความสามารถในการปกครองวัด และฝ่ายบ้านเมืองให้ความอุปถัมภ์มั่นคง ก็มีความเจริญขึ้น สมัยใดขาดเจ้าอาวาสที่ทรงคุณ ก็ขาดผู้อุปถัมภ์ สมัยนั้นก็ตกอยู่ในสภาพร่วงโรย บางสมัยก็ว่างพระเหลือแต่เณร บางสมัยก็ว่างหมด วัดร่วงโรยถึงที่สุดเป็นครั้งคราว |
|||
อาณาเขตของวัดกลาง |
|||
อาณาเขตของวัดกลาง ในสมัยก่อนมีความกว้างขวาง จดเขตติดต่อถึงวัดบูรพาราม แต่เนื่องจากความล้มลุกคลุกคลานของวัดประกอบด้วยการครอบครองที่ดินของวัดด้วยมือเปล่า เมื่อทางราชการได้มีการวางผังเมืองขึ้น ที่ดินของวัดมีสภาพรกร้างว่างเปล่าครอบครองไม่ทั่วถึง ทางราชการได้ถือเอาที่ดินทางบริเวณทิศใต้สระของวัดทั้งหมดเป็นที่ราชพัสดุของกระทรวงยุติธรรม คงปล่อยเพียงสระน้ำให้เป็นของวัด โดยที่ไม่มีใครชี้แจงคัดค้านชี้แนวเขตของวัด |
|||
ประกอบชาวเมืองสุรินทร์สมัยนั้น ก็คือชาวบ้านที่ไร้การศึกษา ไม่มีความเจริญทางภาษาที่พูด ใช้ภาษาท้องถิ่นคือภาษาเขมร ไม่มีความรู้ภาษาไทยเลย ข้าราชการในสมัยนั้นชาวบ้านรู้สึกว่าเป็นเจ้านายไม่กล้าคัดค้านถกเถียงข้าราชการ จะพูดอะไรได้ตามใจชอบเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง แม้ภิกษุสงฆ์ก็ไม่ต่างจากชาวบ้านในสมัยต่อมา หลวงวุฒิธรรมเนติกร มาเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัด ได้ขอที่ดินปลูกโรงงานเลื่อยไม้ ขอกั้นสระน้ำเป็นที่สงวนไว้ใช้ในครอบครัวผู้พิพากษาศาลจังหวัด (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๕) และที่นี้ก็ขาดกรรมสิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง โดยที่ท่านผู้นี้ไม่ได้บอกคืนแก่วัด และวัดก็ไม่กล้าเรียกร้องคืนที่ดินส่วนนี้จึงตกเป็นราชพัสดุไปอีก ๒ ตอน อนึ่ง ทางทิศใต้ของวัด ก็ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน โดยที่วัดไม่ได้มีหลักฐานเรียกร้องคืนเลย ที่ดินดังกล่าวจึงถูกตัดขาดไป |
|||
ปัจจุบันวัดนี้มีพื้นที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๘ ตารางวา และหลังจากเกิดอัคคีภัยเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๑๖ ทางราชการได้ขอขยายถนนธนสารด้านหน้าวัดอีกประมาณ ๑ เมตรเศษตลอดแนวด้านหน้าของวัดจึงมีความจำเป็นต้องสละเพื่อความเจริญของบ้านเมือง |
|||
ความเป็นอยู่ของวัดกลางสุรินทร์ |
|||
ความเป็นอยู่ของวัดกลางสุรินทร์ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มการสร้างวัดมาตามที่ได้กล่าวแล้ว โดยมีเหตุผลแสดงว่าวัดกลางเป็นคู่กำเนิดของเมืองสุรินทร์ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๐๖-๒๓๒๐ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเจ้าอาวาสรูปแรกและต่อ ๆ มามีกี่รูปกี่สมัย มีชื่ออย่างไรบ้าง ไม่มีหลักฐานปรากฏ เพิ่งมาปรากฏในยุคหลัง ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นต้นมา มีรายชื่อตามลำดับดังนี้ |
|||
๑)พระอาจารย์แก้ว ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ - ๒๔๕๐ |
|||
๒)พระอาจารย์น้อม ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๐ - ๒๔๕๓ |
|||
๓)พระอาจารย์โหย ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๕๕ |
|||
๔)พระอาจารย์ใบ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๕ - ๒๔๖๐ |
|||
๕)พระอาจารย์มี ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐ - ๒๔๖๔ |
|||
๖)พระอาจารย์ทิน ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๔ - ๒๔๗๕ |
|||
๗)พระประภากรคณาจารย์ (เดื่อ ปภากโร) ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๕๐๖ |
|||
๘)พระราชสิทธิโกศล (เทพ นนฺโท) ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๖ - ๒๕๓๙ |
|||
๙)พระครูบรรณสารโกวิท (แป สุปญฺโญ) ประมาณ พ.ศ.๒๕๓๙ - ๒๕๔๙ |
|||
๑๐)พระครูปริยัติกิจธำรง (สมหวัง อคฺคเสโน)ประมาณ พ.ศ.๒๕๔๙ – ปัจจุบัน |
|||
ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นต้นมาพระเถระในวัดกลางมีตำแหน่งหน้าที่ทางการบริหารเป็นเจ้าคณะอำเภอติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้รวม ๓ สมัย และตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๖ เป็นต้นมา พระเถระในวัดกลาง ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันรวม ๓ สมัย |
|||
ยุคพัฒนาวัด |
|||
ในการพัฒนาวัดด้านศาสนบุคคล ได้รับตำแหน่งการงานเป็นที่เชิดชูแก่วัด ไม่น้อยกว่าความเป็นมาความสำคัญดั้งเดิมที่กล่าวเบื้องต้นแล้ว รวมทั้งมีภิกษุสามเณรและศิษย์จากที่ต่าง ๆ มาพำนักเพื่อการศึกษาอบรม เป็นภิกษุสามเณรประมาณโดยเฉลี่ยปีละ ๗๐-๙๐ รูป ศิษย์ประมาณปีละ ๔๕-๖๐ คน รวมปีละ ๑๒๐ ชีวิต ซึ่งมีความมากเกินปริมาณ สำหรับอาณาเขตของวัดซึ่งเล็กกว่าวัดอื่น ๆ หลายเท่า ผู้สำเร็จการศึกษาฝ่ายสงฆ์ก็ได้ส่งไปช่วยภาระธุระของพระศาสนาไม่น้อย ที่เป็นศิษย์ก็ออกไปประกอบอาชีพตามถนัดของตนเอง ตามฐานานุรูป ที่มีตำแหน่งทางราชการก็หลายระดับชั้น ศิษย์ทุกคนที่ออกจากวัดกลางอย่างน้อยก็มีภูมิรู้ธรรมศึกษาชั้นตรี ที่ไม่มีภูมิรู้ทางธรรมกลับไปนั้น ไม่เกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ |
|||
การเผยแผ่ |
|||
ในด้านศาสนธรรม ทั้งในศาสนกิจส่วนวัด และส่วนรวมเป็นศูนย์เผยแผ่การฟังเทศน์สามัคคีการออกรายการวิทยุ การจัดรายการปาฐกถาสนทนาธรรม กลุ่มเผยแผ่ของคณะสงฆ์รวมทั้งการเปิดสำนักอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดโคกบัวราย และอื่น ๆ มีมูลฐานจากวัดกลางซึ่งเป็นศูนย์งานและการปฎิบัติงาน การดำเนินภายในวัด เปิดสำนักศึกษารวม ๕ ประเภทด้วยกัน |
|||
การก่อสร้างเสนาสนะ |
|||
ในด้านศาสนวัตถุ ทางวัดได้พยายามก่อสร้างเริ่มสร้างบูรณะเท่าที่เป็นไปได้ แต่วัดมีอุปสรรคที่แก้ไม่ได้ เพราะเหตุการณ์และสถานที่ไม่อำนวย เช่น เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับอัคคีภัยเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ทำให้วัดกลางตกอยู่ในสภาพเหมือนวัดสร้างใหม่ ไม่มีความสะดวกในการบำเพ็ญศาสนกิจ แม้สถานศึกษาของพระภิกษุสามเณรก็ต้องปลูกปรำเรียน ทั้ง ๆ ที่วัดอยู่กลางใจเมือง เท่ากับเป็นการประจานน้ำใจของพุทธศาสนิกชนของชาวจังหวัดสุรินทร์ทั่วไปซึ่งเนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่ทางวัดยังแก้ไม่ตก ที่ได้กล่าวว่าสถานที่ไม่อำนวย ก็เพราะความคับแคบของวัดไม่อาจวางผังวัดให้มีเขตเป็นพุทธาวาส สังฆาวาสให้เป็นสัดส่วนได้ แม้ในการพัฒนาวัดยังไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร เพราะอาคารสถานที่ยังไม่พอแก่ความจำเป็น แต่ก็ได้ตั้งโครงการเพื่อการทะนุบำรุงทางศาสนาวัตถุต่อไป |
|||
เสนาสนะที่ก่อสร้างมาก่อน และยังปลอดอัคคีภัย คือ |
|||
พ.ศ. ๒๔๙๔ สร้างกุฏิสำนักงาน และเป็นกุฏิเจ้าอาวาส ๑ หลัง ๒ ชั้น กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๒ เมตร สร้างด้วยเนื้อไม้แข็ง มูลค่า ๖๐,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๘ สร้างอุโบสถ ๑ หลัง กว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มูลค่า ๘๕๐,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๐๘ สร้างประตูและกำแพงวัดด้านหน้า มูลค่าประมาณ ๔๘,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๑๐ สร้างกุฏิที่พักพระสังฆาธิการ ๒ ชั้น ๘ ห้อง ทรงปั้นหยา มูลค่า ๒๑๕,๐๐๐ บาท |
|||
อาคารสถานที่สร้างหลังเกิดอัคคีภัย |
|||
พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ทรงไทย มูลค่า ๙๕๒,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ สร้างกุฏิทรงไทย ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๗.๕๐ เมตร มูลค่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ สร้างกุฏิเก็บสังฆภัณฑ์ ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๕ เมตร ยาว ๘ เมตร มูลค่า ๘๕,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๑๘ สร้างครัวสงฆ์ ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๒ เมตร มูลค่า ๕๒,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๑๙ ซ่อมอุโบสถที่เสียหายจากอัคคีภัย มูลค่า ๔๐,๓๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. ๒๕๑๙ สร้างกำแพงด้านข้าง ยาว ๖๐ เมตร และห้องน้ำ ๖ ห้อง ๕๒,๐๐๐ บาท |
|||
พ.ศ. สร้างอาคารเรียนปริยัติธรรม ๑ หลัง ๓ ชั้น จำนวน ห้อง ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง เมตร ยาว เมตร มูลค่า บาท |
|||
พ.ศ. สร้างศาลาเอนกประสงค์ ๑ หลัง ๓ ชั้น ด้วบคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง เมตร ยาว เมตร มูลค่า บาท พ.ศ. ๒๕๔๖ สร้างพระธาตุเจดีย์ศรีเมืองช้างวัดกลางสุรินทร์ |
|||
พระเถระที่ได้รับตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ระดับจังหวัด |
|||
๑) พระมหาสาโรช ป.ธ.๖ เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๔๙๖-๒๔๙๘ (ลาสิกขา) |
|||
๒) พระประภากรคณาจารย์ (เดื่อ ปภากโร) เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๐๖ (มรณภาพ) |
|||
๓) พระราชสิทธิโกศล (เทพ นนฺโท)เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๓๙ (มรณภาพ) ๔) พระปริยัติวรคุณ (สุคนธ์ ป.ธ.๖)เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์รูปที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๑๖ (ลาสิกขา) |
|||
๕) พระครูวิภัชกัลยาณธรรม(จันทร์ กลฺยาณมุตฺโต)เป็นเผยแผ่จังหวัด (ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาลอย มรณะภาพแล้ว) |
|||
พระเถระที่ได้รับตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ระดับอำเภอ |
|||
๑)พระครูบรรณสารโกวิท (แป สุปญฺโญ) เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองสุรินทร์ |
|||
๒)พระครูธรรมรสสุนทร (เมธ ปญฺญาวโร) ป.ธ.๕ เป็นเจ้าคณะอำเภอศีขรภูมิ |
|||
๓)พระครูสิริปริยัตยาทร (ถวิล ชินวโร) ป.ธ.๔ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอเมืองสุรินทร์รูปที่ ๑ |
|||
๔)พระสมุห์เอียน สีลสาโร เป็นรองเจ้าคณะอำเภอปราสาท (เป็นเจ้าอาวาสวัดสุวรรณวิจิตร) |
|||
๕)พระมหาสมศักดิ์ ชาติญาโณ ป.ธ.๕ ย้ายไปประจำอำเภอสังขะ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอสังขะรูปที่ ๑ |
|||
๖)พระมหาธีรวัฒน์ ป.ธ.๓ เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพสุรินทร์ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอสังขะรูปที่ ๒ |
|||
๗)พระครูปริยัติกิจธำรง (สมหวัง อคฺคเสโน)เป็นรองเจ้าคณะอำเภอเมืองสุรินทร์ |
|||
การจัดการศึกษา |
|||
วัดกลางสุรินทร์ ได้เปิดการศึกษาปริยัติธรรมตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๑ แต่ยังไม่มั่นคงมีอุปสรรคเกี่ยวกับเรื่องครูสอนยังขาดเป็นครั้งคราว และได้เปิดทำการสอนได้มั่นคงดังนี้ |
|||
พ.ศ.๒๔๘๖ เปิดการศึกษาปริยัติธรรมแผนกนักธรรม |
|||
พ.ศ.๒๔๘๗ เปิดการศึกษาปริยัติธรรมแผนกธรรมศึกษา |
|||
พ.ศ.๒๔๙๑ เปิดการศึกษาปริยัติธรรมแผนกบาลี |
|||
พ.ศ.๒๕๑๕ เปิดโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ สำหรับภิกษุสามเณร |
|||
พ.ศ.๒๕๒๔ เปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาตอนต้น มีชื่อว่า โรงเรียนปริยัติโกศลวิทยา |
|||
พ.ศ.๒๕๒๗ โรงเรียนปริยัติโกศลวิทยา เปิดขยายโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาตอนปลาย |
|||
วัดกลาง เป็นศูนย์การศึกษาปริยัติธรรมส่วนกลางของจังหวัด แต่ละปีมีภิกษุสามเณรร่วมเรียนเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น |
|||
ปีการศึกษา ๒๕๑๙ มีจำนวนนักเรียนเข้าศึกษาเล่าเรียน โดยปริมาณดังนี้ |
|||
นักธรรมทุกชั้นมีจำนวน ๓๙ รูป เปิดเรียนเวลา ๐๘.๓๐-๑๐.๓๐ น. |
|||
ธรรมศึกษา มีจำนวนนักเรียน ๔๒ คน เปิดเรียนเวลา ๑๖.๓๐-๑๗.๓๐ น. |
|||
แผนกบาลี มีจำนวน ๙๒ รูป เปิดเรียนเวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. |
|||
เปิดเรียนศึกษาผู้ใหญ่ มีจำนวนนักเรียน ๑๖๕ รูป เปิดเรียนเวลา ๑๖.๐๐-๑๙.๐๐ น. |
|||
โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ มีนักเรียน ๑๑๘ คน เปิดเรียนเวลา ๐๘.๓๐ น. |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:52, 21 สิงหาคม 2554
ประวัติวัดกลางสุรินทร์
ประวัติและภูมิศาสตร์เมืองสุรินทร์(ย่อ) ก่อนกล่าวถึงเรื่องวัดกลาง ใคร่กล่าวถึงภูมิประเทศของเมืองสุรินทร์ อันเป็นมูลแห่งการสร้างวัดกลางตามควรแก่กรณี เมืองสุรินทร์เป็นเมืองโบราณ มีชื่อเรียกว่า คูประทาย หรือ ไผทสมัน มีกำแพงและคูล้อมชั้นใน เป็นรูปวงกลม วัดผ่าศูนย์กลางจากตะวันออกสู่ตะวันตกประมาณ ๒๒ เส้นจากทิศเหนือจดใต้ประมาณ ๒๖ เส้น มีกำแพงและคูชั้นนอกอีกชั้นหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมวงรี ๆ รวมเป็นกำแพง ๒ ชั้น ภูมิประเทศภายในเขตกำแพงชั้นในส่วนมากเป็นที่ลุ่ม บางแห่งมีน้ำขังอยู่ตลอดฤดูหนาว ที่เป็นเนินมีบริเวณจากซอยตาดอกทอดไปทางทิศตะวันออกจดวัดบูรพารามด้านทิศใต้แค่บริเวณถนนหลักเมือง เนินที่สูงสุดตรงบริเวณทิศใต้ตลาดเทศบาล ชาวบ้านเรียกคนแถบนี้ว่า “คุ้มโคกสูง” วัดที่มีอยู่ในตัวเมืองสุรินทร์ ที่เป็นวัดโบราณเก่าแก่มี ๙ วัด ที่สร้างขึ้นใหม่เฉพาะในเขตเทศบาลมี ๒ วัด วัดทั้ง ๑๐ นี้ตั้งอยู่ดังนี้ วัดกลางและวัดบูรพาราม ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงชั้นใน วัดจำปา, วัดศาลาลอย วัดจุมพลสุธาวาส, วัดพรหมสุรินทร์ และวัดโคกบัวราย (ตั้งใหม่) ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงชั้นนอกและวัดที่ตั้งอยู่นอกกำแพงชั้นนอกมี วัดหนองบัว, วัดประทุมเมฆ และวัดเทพสุรินทร์ (สร้างใหม่) วัดทั้ง ๘ ล้วนเป็นวัดโบราณไม่มีประวัติจารึกว่า วัดใดสร้างขึ้นเมื่อใดแน่นอน อนึ่ง ภายในเขตกำแพงและคูเมืองชั้นใน มีที่พอสันนิษฐานว่า เคยเป็นวัดมาก่อน ๔ แห่งคือ ๑)ในพื้นที่บริเวณตั้งโรงเรียนสุรินทร์ราษฏร์บำรุง มีซากอิฐเก่าแก่มาก่อนเคยมีต้นโพธิ์ปรากฏมาแต่เดิม ชาวบ้านแห่งนี้ว่า ”โคกโพธิ์” ๒)ในพื้นที่ตั้งโกลเด้นท์ไนคลับ มีซากอิฐเป็นมาก่อน บางคนว่าเคยเป็นวัดบางคนว่า น่าจะเป็นเทวาลัย เพราะมีอิฐกองเป็นกลุ่มขนาดย่อม ชาวบ้านเรียกที่แห่งนี้ว่า “โพธิ์ร้าง” ขณะนี้ต้นโพธิ์ยังมีอยู่ ๓)ที่ตั้งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุรินทร์ เคยมีต้นโพธิ์ใหญ่ มีซากอิฐมาก่อนผู้แก่ผู้เฒ่าเล่ากันว่า เป็นวัดมาก่อน แต่ย้ายออกไปทางทิศใต้ พ้นเขตกำแพงชั้นนอกและต่อมาก็ย้ายกลับมาภายในกำแพงชั้นนอก คือวัดจุมพลสุทธาวาสปัจจุบันนี้ ณ ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนี้ ชาวบ้านเรียกว่า “โคกโพธิ์สามต้น” ๔)ณ ที่เนินนอกกำแพงชั้นใน ตรงใกล้มุมกำแพงเมืองด้านตะวันตกเฉียงใต้เคยเป็นวัดมาก่อนเรียกว่า วัดศาลาแดง ต่อมาวัดนี้ย้ายขยับมาทางทิศตะวันออก คือวัดพรหมสุรินทร์ปัจจุบันนี้ ที่บริเวณวัดศาลาแดง ทางวัดพรหมสุรินทร์ ถือว่าเป็นธรณีสงฆ์ของวัด แต่ชาวบ้านก็ยึดครองปลูกบ้านเรือนอยู่ ไม่ยอมรับรู้ว่าเป็นธรณีสงฆ์ของวัด
การก่อตั้งวัดกลางสุรินทร์
วัดกลางสุรินทร์ ได้เริ่มสร้างขึ้นเมื่อใดใครเป็นผู้สร้าง เจ้าอาวาสองค์แรกและองค์ต่อ ๆ มามีชื่ออย่างไรบ้าง ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแต่สถานที่ตั้งวัดนั้นพอมีเหตุผลที่น่าเชื่อดังนี้เมืองสุรินทร์มีกำเนิดมาแต่ครั้งใด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า หลายร้อยปีมาแล้วโดยมีชื่อเดิมว่า ไผทสมัน ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๐๖ เชียงปุมซึ่งเดิมอยู่บ้านเมืองที ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระสุรินทร์ภักดี และย้ายมาอยู่ที่ไผทสมัน เมืองนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองสุรินทร์ ตามบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองในการอพยบครั้งแรก สันนิษฐานว่า ได้เริ่มกำหนดตั้งสถานที่หลักเมืองขึ้นโดยถือเนื้อที่ส่วนกลางของเมืองจริง ๆ กล่าวคือประมาณอาณาเขตภายในคูกำแพงเมืองชั้นใน จากทิศตะวันออกจดทิศตะวันตก และจากทิศเหนือจดทิศใต้ มีศูนย์กลางตรงที่ตั้งหลักเมืองในปัจจุบันพอดี ถนนสายนี้เกิดขึ้นในสมัยหลังส่วนจวนเจ้าเมืองนั้น ตั้งเยืองจากศาลเจ้าหลักเมืองมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงบริเวณตลาดเก่า ตรงหน้าวัดกลางปัจจุบัน หรือบริเวณหลังโรงแรมโมเมเรียลทั้งหมดเป็นบริเวณจวนเจ้าเมืองมาแต่เดิม แต่ปัจจุบันนี้เป็นที่ของเอกชนหมดแล้ว วัดกลาง น่าจะเริ่มได้รับการก่อสร้างขึ้นในสมัยนี้ ทั้งนี้เนื่องจากตั้งในเนื้อที่แนวเดียวกับจวนเจ้าเมือง ด้านทิศตะวันออกขนานกับจวนเจ้าเมือง โดยมีทางขั้นกลางระหว่างจวนเจ้าเมืองกับวัด ปัจจุบันทางสายนี้ คือถนนธนสารซึ่งเป็นทางสายเดียว ที่ตัดกลางเมืองทอดจากกำแพงด้านเหนือจดด้านใต้ และมีถนนสายหลักเมืองผ่ากลางจากตะวันออกสู่ตะวันตก ตัดกันเป็นสี่แยกหลักเมือง ถนนสองสายนี้เป็นถนนดังเดิมของเมืองสุรินทร์ การวางผังเมืองของเจ้าเมืองสุรินทร์ เข้าใจว่า ได้เพ่งถึงจุดศูนย์กลางของตัวเมืองและสร้างจวนในบริเวณดังกล่าว ที่แห่งนี้เป็นเนินสูง ข้อยืนยันว่าเจ้าเมืองคนแรกสร้างวัดกลางสุรินทร์ ข้อยืนยันว่า เจ้าเมืองสุรินทร์คนแรกเป็นผู้สร้างวัดกลาง มีเหตุผลประกอบดังนี้
หลังจากเชียงปุมได้รับพระราชทานยศและตำแหน่ง กลับมาสู่บ้านเดิมที่เมืองที และเห็นว่าที่บ้านเมืองทีเป็นบ้านเล็ก ชัยภูมิไม่เหมาะสมจึงย้ายมาตั้งเมืองที่คูประทาย เมื่อกำหนดที่ตั้งจวนแล้วก็วางผังการสร้างวัดเคียงข้างกับเขตจวน ทางทิศตะวันออก
การตั้งวัดนี้ น่าจะเป็นการเลียนแบบข้าราชการทหารในสมัยนั้น ที่กลับจากการทำศึกสงครามก็มีการสร้างวัด ซึ่งการสร้างวัดนี้แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ก็สร้างมาก ข้าราชบริพารก็สร้างเช่นกัน จนมีคำกล่าวในสมัยนั้นว่า “สร้างวัดให้ลูกเล่น” เจ้าเมืองสุรินทร์ได้สร้างวัดขึ้นเป็นความนิยมตามสมัยนั้น เป็นการเลียนแบบจากส่วนกลางก็ได้เจ้าเมืองอาจตั้งความประสงค์ว่า เมื่อสร้างเมืองก็สร้างวัดเป็นคู่บ้านคู่เมืองด้วย จึงกำหนดพื้นที่วัดกลางติดกับเขตจวนการปฏิบัติราชการในสมัยนั้น ไม่มีศาลากลางเป็นเอกเทศใช้จวนเป็นที่ราชการด้วย เมื่อมีการชุมนุมเรื่องข้าราชการก็ใช้บริเวณวัดเป็นที่ชุมนุมเป็นความสะดวกสบายโดยตลอด วัดกลางได้เป็นที่ร่วมประชุมของทางราชการตลอดในสมัยนั้น รวมทั้งการระดมพลตามที่กล่าว ณ เบื้องต้นว่า เรื่องมีปรากฏซากอิฐเก่าที่ “โคกโพธิ์” คือบริเวณตั้งโรงเรียนราษฎร์บำรุงว่า เคยเป็นที่ตั้งวัดมาแต่เดิม เมื่อพระสุรินทร์มาสร้างเมืองแล้วเมื่อมีการวางผังเมืองและกำหนดที่วัด โดยท่านเจ้าเมืองอาจโยกย้ายวัดนี้มาตั้งเป็นวัดกลางก็ได้ ทั้งนี้โดยเหตุผลตามคติพื้นบ้านถือว่า การสร้างวัดต้องให้อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน จึงจะเป็นมงคล วัดอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ถือว่าเป็นอัปมงคล วัดอยู่ทางทิศเหนือหรือใต้หมู่บ้านไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย อาจจะเป็นเพราะเหตุที่เจ้าเมืองสร้างจวนอยู่ทางทิศตะวันออกวัด จึงย้ายวัดจากทิศตะวันตกมาตั้งทิศตะวันออก แต่ทั้งนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานอาจจะร้างไปเอง และวัดกลางก็อาจตั้งขึ้นใหม่ก็ได้ แต่เหตุผลที่ยืนยันมานั้นพอกล่าวได้ว่า วัดกลางเกิดในสมัยพระสุรินทร์คนแรกแน่นอน เพราะปรากฏเรื่องของเจ้าเมืองดังกล่าวแล้ว ประเพณีที่เกิดขึ้นในวัด
วัดกลางสุรินทร์มีอุโบสถ สร้างด้วยอิฐโบกปูนแบบโบราณ ไม่มีปูนซีเมนต์เช่นปัจจุบัน เป็นโครงสวยงามในสมัยโบราณมาแล้ว วัดกลางเป็นศูนย์งานราชการ เช่นการเกณฑ์คนมาเพื่อกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง มีเกณฑ์ทหารเป็นต้น งานประเพณีของชาวบ้านที่ต้องชุมนุม และที่เกี่ยวกับด้านศาสนาดังนี้
๑.ประเพณีการบวชนาค ในแต่ละปีนาคในเขตเมืองและจากตำบลต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงมีการนัดบวชพร้อมกัน โดยเจ้าเมืองเป็นผู้นัด ปกติก็นัดตั้งขบวนแห่ตระเวน ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เจ้าเมืองมีการเกณฑ์ช้าง ประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยเชือก แห่ไปสมทบที่ต่าง ๆ หนึ่งวันเป็นที่สนุกสนาน มีขบวนม้าล่อช้าง เกิดทั้งความสนุกสนานตื่นเต้น ตอนค่ำก็ทำพิธีเรียกขวัญ และเจริญพระพุทธมนต์สมโภช รุ่งเช้าขบวนในเมืองก็แห่ไปรับนาคจากข้างนอก เมื่อสมทบพร้อมกันแล้ว แห่ตระเวนนอกเมืองประมาณบ่าย นาคทั้งหลายก็พร้อมกันกราบลาเจ้าเมือง แล้วเข้าบวช เสร็จตอนดึกเลยเที่ยงคืนก็มีชาวบ้านเรียกการบวชนาคนี้ว่า “นาคหลวง วัดกลางถือว่าเป็นวัดหลวง” เพราะเป็นที่รวมชุมชนทุกอย่าง โดยเจ้าเมืองเป็นประธานในงานทุกอย่าง ๒.ประเพณีสงกรานต์ เมือถึงเดือน ๕ ชาวบ้านทุกคุ้มในเมืองร่วมขนทรายก่อเจดีย์ ณ วัดกลาง เป็นการประกวดประชันกันในการแต่งเจดีย์ทราย วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เป็นวันแต่งเจดีย์ทรายและสมโภช รุ่งเช้าทำบุญตักบาตร ตอนบ่ายเริ่มสรงน้ำพระโดยตระเวรไปตามวัดต่าง ๆ แล้วมารวมกัน ณ วักลางสุรินทร์ มีการละเล่นต่าง ๆ มีเล่นตรุษรำสาก เจรียง จรวง เจรียงนอระแก้ว เล่นซ้อนผ้าและสะบ้า ระหว่างหนุ่มสาวเป็นที่ครื้นเครง เป็นประจำทุกปี ๓.ประเพณีวันสารท วันดับเดือน ๑๐ ถือว่าเป็นวันสารท หลังจากการทำบุญจากทุกวัดก็มาชุมนุมกัน มีการกีฬาพื้นบ้าน เช่น ชักคะเย่อระหว่างหนุ่มสาว บางครั้งหนุ่ม ๆ อริก็เรียกตัวมาชกมวยกัน เป็นทั้งมวยธรรมดาและขึงเป็นเขตให้ชก หลังจากนั้นก็แนะนำให้มีความสามัคคีกัน เลิกโกรธแค้นพยาบาทกัน วัดกลางเหมือนสนามศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน ๔.พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา หลังจากสมัยเจ้าเมืองคนแรก วัดกลางยังเป็นศูนย์รวมประเพณีต่าง ๆ แม้ในสมัยต่อมาเมื่อทางราชการมีพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ก็ได้มาประกอบพิธี ณ วัดกลางเป็นเวลาหลายปี สมัยต่อมาวัดกลางก็ถึงความเจริญบ้าง เสื่อมบ้างตามยุคสมัย กล่าวคือยุคใดเจ้าอาวาสมีความสามารถในการปกครองวัด และฝ่ายบ้านเมืองให้ความอุปถัมภ์มั่นคง ก็มีความเจริญขึ้น สมัยใดขาดเจ้าอาวาสที่ทรงคุณ ก็ขาดผู้อุปถัมภ์ สมัยนั้นก็ตกอยู่ในสภาพร่วงโรย บางสมัยก็ว่างพระเหลือแต่เณร บางสมัยก็ว่างหมด วัดร่วงโรยถึงที่สุดเป็นครั้งคราว
อาณาเขตของวัดกลาง
อาณาเขตของวัดกลาง ในสมัยก่อนมีความกว้างขวาง จดเขตติดต่อถึงวัดบูรพาราม แต่เนื่องจากความล้มลุกคลุกคลานของวัดประกอบด้วยการครอบครองที่ดินของวัดด้วยมือเปล่า เมื่อทางราชการได้มีการวางผังเมืองขึ้น ที่ดินของวัดมีสภาพรกร้างว่างเปล่าครอบครองไม่ทั่วถึง ทางราชการได้ถือเอาที่ดินทางบริเวณทิศใต้สระของวัดทั้งหมดเป็นที่ราชพัสดุของกระทรวงยุติธรรม คงปล่อยเพียงสระน้ำให้เป็นของวัด โดยที่ไม่มีใครชี้แจงคัดค้านชี้แนวเขตของวัด ประกอบชาวเมืองสุรินทร์สมัยนั้น ก็คือชาวบ้านที่ไร้การศึกษา ไม่มีความเจริญทางภาษาที่พูด ใช้ภาษาท้องถิ่นคือภาษาเขมร ไม่มีความรู้ภาษาไทยเลย ข้าราชการในสมัยนั้นชาวบ้านรู้สึกว่าเป็นเจ้านายไม่กล้าคัดค้านถกเถียงข้าราชการ จะพูดอะไรได้ตามใจชอบเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง แม้ภิกษุสงฆ์ก็ไม่ต่างจากชาวบ้านในสมัยต่อมา หลวงวุฒิธรรมเนติกร มาเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัด ได้ขอที่ดินปลูกโรงงานเลื่อยไม้ ขอกั้นสระน้ำเป็นที่สงวนไว้ใช้ในครอบครัวผู้พิพากษาศาลจังหวัด (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๕) และที่นี้ก็ขาดกรรมสิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง โดยที่ท่านผู้นี้ไม่ได้บอกคืนแก่วัด และวัดก็ไม่กล้าเรียกร้องคืนที่ดินส่วนนี้จึงตกเป็นราชพัสดุไปอีก ๒ ตอน อนึ่ง ทางทิศใต้ของวัด ก็ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน โดยที่วัดไม่ได้มีหลักฐานเรียกร้องคืนเลย ที่ดินดังกล่าวจึงถูกตัดขาดไป ปัจจุบันวัดนี้มีพื้นที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๘ ตารางวา และหลังจากเกิดอัคคีภัยเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๑๖ ทางราชการได้ขอขยายถนนธนสารด้านหน้าวัดอีกประมาณ ๑ เมตรเศษตลอดแนวด้านหน้าของวัดจึงมีความจำเป็นต้องสละเพื่อความเจริญของบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของวัดกลางสุรินทร์ ความเป็นอยู่ของวัดกลางสุรินทร์ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มการสร้างวัดมาตามที่ได้กล่าวแล้ว โดยมีเหตุผลแสดงว่าวัดกลางเป็นคู่กำเนิดของเมืองสุรินทร์ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๐๖-๒๓๒๐ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเจ้าอาวาสรูปแรกและต่อ ๆ มามีกี่รูปกี่สมัย มีชื่ออย่างไรบ้าง ไม่มีหลักฐานปรากฏ เพิ่งมาปรากฏในยุคหลัง ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นต้นมา มีรายชื่อตามลำดับดังนี้ ๑)พระอาจารย์แก้ว ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ - ๒๔๕๐ ๒)พระอาจารย์น้อม ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๐ - ๒๔๕๓ ๓)พระอาจารย์โหย ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๕๕ ๔)พระอาจารย์ใบ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๕ - ๒๔๖๐ ๕)พระอาจารย์มี ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐ - ๒๔๖๔ ๖)พระอาจารย์ทิน ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๔ - ๒๔๗๕ ๗)พระประภากรคณาจารย์ (เดื่อ ปภากโร) ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๕๐๖ ๘)พระราชสิทธิโกศล (เทพ นนฺโท) ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๖ - ๒๕๓๙ ๙)พระครูบรรณสารโกวิท (แป สุปญฺโญ) ประมาณ พ.ศ.๒๕๓๙ - ๒๕๔๙ ๑๐)พระครูปริยัติกิจธำรง (สมหวัง อคฺคเสโน)ประมาณ พ.ศ.๒๕๔๙ – ปัจจุบัน ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นต้นมาพระเถระในวัดกลางมีตำแหน่งหน้าที่ทางการบริหารเป็นเจ้าคณะอำเภอติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้รวม ๓ สมัย และตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๖ เป็นต้นมา พระเถระในวัดกลาง ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันรวม ๓ สมัย
ยุคพัฒนาวัด
ในการพัฒนาวัดด้านศาสนบุคคล ได้รับตำแหน่งการงานเป็นที่เชิดชูแก่วัด ไม่น้อยกว่าความเป็นมาความสำคัญดั้งเดิมที่กล่าวเบื้องต้นแล้ว รวมทั้งมีภิกษุสามเณรและศิษย์จากที่ต่าง ๆ มาพำนักเพื่อการศึกษาอบรม เป็นภิกษุสามเณรประมาณโดยเฉลี่ยปีละ ๗๐-๙๐ รูป ศิษย์ประมาณปีละ ๔๕-๖๐ คน รวมปีละ ๑๒๐ ชีวิต ซึ่งมีความมากเกินปริมาณ สำหรับอาณาเขตของวัดซึ่งเล็กกว่าวัดอื่น ๆ หลายเท่า ผู้สำเร็จการศึกษาฝ่ายสงฆ์ก็ได้ส่งไปช่วยภาระธุระของพระศาสนาไม่น้อย ที่เป็นศิษย์ก็ออกไปประกอบอาชีพตามถนัดของตนเอง ตามฐานานุรูป ที่มีตำแหน่งทางราชการก็หลายระดับชั้น ศิษย์ทุกคนที่ออกจากวัดกลางอย่างน้อยก็มีภูมิรู้ธรรมศึกษาชั้นตรี ที่ไม่มีภูมิรู้ทางธรรมกลับไปนั้น ไม่เกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ การเผยแผ่ ในด้านศาสนธรรม ทั้งในศาสนกิจส่วนวัด และส่วนรวมเป็นศูนย์เผยแผ่การฟังเทศน์สามัคคีการออกรายการวิทยุ การจัดรายการปาฐกถาสนทนาธรรม กลุ่มเผยแผ่ของคณะสงฆ์รวมทั้งการเปิดสำนักอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดโคกบัวราย และอื่น ๆ มีมูลฐานจากวัดกลางซึ่งเป็นศูนย์งานและการปฎิบัติงาน การดำเนินภายในวัด เปิดสำนักศึกษารวม ๕ ประเภทด้วยกัน
การก่อสร้างเสนาสนะ
ในด้านศาสนวัตถุ ทางวัดได้พยายามก่อสร้างเริ่มสร้างบูรณะเท่าที่เป็นไปได้ แต่วัดมีอุปสรรคที่แก้ไม่ได้ เพราะเหตุการณ์และสถานที่ไม่อำนวย เช่น เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับอัคคีภัยเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ทำให้วัดกลางตกอยู่ในสภาพเหมือนวัดสร้างใหม่ ไม่มีความสะดวกในการบำเพ็ญศาสนกิจ แม้สถานศึกษาของพระภิกษุสามเณรก็ต้องปลูกปรำเรียน ทั้ง ๆ ที่วัดอยู่กลางใจเมือง เท่ากับเป็นการประจานน้ำใจของพุทธศาสนิกชนของชาวจังหวัดสุรินทร์ทั่วไปซึ่งเนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่ทางวัดยังแก้ไม่ตก ที่ได้กล่าวว่าสถานที่ไม่อำนวย ก็เพราะความคับแคบของวัดไม่อาจวางผังวัดให้มีเขตเป็นพุทธาวาส สังฆาวาสให้เป็นสัดส่วนได้ แม้ในการพัฒนาวัดยังไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร เพราะอาคารสถานที่ยังไม่พอแก่ความจำเป็น แต่ก็ได้ตั้งโครงการเพื่อการทะนุบำรุงทางศาสนาวัตถุต่อไป เสนาสนะที่ก่อสร้างมาก่อน และยังปลอดอัคคีภัย คือ พ.ศ. ๒๔๙๔ สร้างกุฏิสำนักงาน และเป็นกุฏิเจ้าอาวาส ๑ หลัง ๒ ชั้น กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๒ เมตร สร้างด้วยเนื้อไม้แข็ง มูลค่า ๖๐,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๘ สร้างอุโบสถ ๑ หลัง กว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มูลค่า ๘๕๐,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๐๘ สร้างประตูและกำแพงวัดด้านหน้า มูลค่าประมาณ ๔๘,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๑๐ สร้างกุฏิที่พักพระสังฆาธิการ ๒ ชั้น ๘ ห้อง ทรงปั้นหยา มูลค่า ๒๑๕,๐๐๐ บาท อาคารสถานที่สร้างหลังเกิดอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ทรงไทย มูลค่า ๙๕๒,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ สร้างกุฏิทรงไทย ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๗.๕๐ เมตร มูลค่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ สร้างกุฏิเก็บสังฆภัณฑ์ ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๕ เมตร ยาว ๘ เมตร มูลค่า ๘๕,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๑๘ สร้างครัวสงฆ์ ๑ หลัง ๒ ชั้น ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๒ เมตร มูลค่า ๕๒,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๑๙ ซ่อมอุโบสถที่เสียหายจากอัคคีภัย มูลค่า ๔๐,๓๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๑๙ สร้างกำแพงด้านข้าง ยาว ๖๐ เมตร และห้องน้ำ ๖ ห้อง ๕๒,๐๐๐ บาท พ.ศ. สร้างอาคารเรียนปริยัติธรรม ๑ หลัง ๓ ชั้น จำนวน ห้อง ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง เมตร ยาว เมตร มูลค่า บาท พ.ศ. สร้างศาลาเอนกประสงค์ ๑ หลัง ๓ ชั้น ด้วบคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง เมตร ยาว เมตร มูลค่า บาท พ.ศ. ๒๕๔๖ สร้างพระธาตุเจดีย์ศรีเมืองช้างวัดกลางสุรินทร์ พระเถระที่ได้รับตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ระดับจังหวัด ๑) พระมหาสาโรช ป.ธ.๖ เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๔๙๖-๒๔๙๘ (ลาสิกขา) ๒) พระประภากรคณาจารย์ (เดื่อ ปภากโร) เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๐๖ (มรณภาพ) ๓) พระราชสิทธิโกศล (เทพ นนฺโท)เป็นเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๓๙ (มรณภาพ) ๔) พระปริยัติวรคุณ (สุคนธ์ ป.ธ.๖)เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์รูปที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๑๖ (ลาสิกขา) ๕) พระครูวิภัชกัลยาณธรรม(จันทร์ กลฺยาณมุตฺโต)เป็นเผยแผ่จังหวัด (ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาลอย มรณะภาพแล้ว) พระเถระที่ได้รับตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ระดับอำเภอ ๑)พระครูบรรณสารโกวิท (แป สุปญฺโญ) เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองสุรินทร์ ๒)พระครูธรรมรสสุนทร (เมธ ปญฺญาวโร) ป.ธ.๕ เป็นเจ้าคณะอำเภอศีขรภูมิ ๓)พระครูสิริปริยัตยาทร (ถวิล ชินวโร) ป.ธ.๔ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอเมืองสุรินทร์รูปที่ ๑ ๔)พระสมุห์เอียน สีลสาโร เป็นรองเจ้าคณะอำเภอปราสาท (เป็นเจ้าอาวาสวัดสุวรรณวิจิตร) ๕)พระมหาสมศักดิ์ ชาติญาโณ ป.ธ.๕ ย้ายไปประจำอำเภอสังขะ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอสังขะรูปที่ ๑ ๖)พระมหาธีรวัฒน์ ป.ธ.๓ เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพสุรินทร์ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอสังขะรูปที่ ๒
๗)พระครูปริยัติกิจธำรง (สมหวัง อคฺคเสโน)เป็นรองเจ้าคณะอำเภอเมืองสุรินทร์
การจัดการศึกษา วัดกลางสุรินทร์ ได้เปิดการศึกษาปริยัติธรรมตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๑ แต่ยังไม่มั่นคงมีอุปสรรคเกี่ยวกับเรื่องครูสอนยังขาดเป็นครั้งคราว และได้เปิดทำการสอนได้มั่นคงดังนี้ พ.ศ.๒๔๘๖ เปิดการศึกษาปริยัติธรรมแผนกนักธรรม พ.ศ.๒๔๘๗ เปิดการศึกษาปริยัติธรรมแผนกธรรมศึกษา พ.ศ.๒๔๙๑ เปิดการศึกษาปริยัติธรรมแผนกบาลี พ.ศ.๒๕๑๕ เปิดโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ สำหรับภิกษุสามเณร พ.ศ.๒๕๒๔ เปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาตอนต้น มีชื่อว่า โรงเรียนปริยัติโกศลวิทยา พ.ศ.๒๕๒๗ โรงเรียนปริยัติโกศลวิทยา เปิดขยายโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาตอนปลาย วัดกลาง เป็นศูนย์การศึกษาปริยัติธรรมส่วนกลางของจังหวัด แต่ละปีมีภิกษุสามเณรร่วมเรียนเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ปีการศึกษา ๒๕๑๙ มีจำนวนนักเรียนเข้าศึกษาเล่าเรียน โดยปริมาณดังนี้ นักธรรมทุกชั้นมีจำนวน ๓๙ รูป เปิดเรียนเวลา ๐๘.๓๐-๑๐.๓๐ น. ธรรมศึกษา มีจำนวนนักเรียน ๔๒ คน เปิดเรียนเวลา ๑๖.๓๐-๑๗.๓๐ น. แผนกบาลี มีจำนวน ๙๒ รูป เปิดเรียนเวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. เปิดเรียนศึกษาผู้ใหญ่ มีจำนวนนักเรียน ๑๖๕ รูป เปิดเรียนเวลา ๑๖.๐๐-๑๙.๐๐ น. โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ มีนักเรียน ๑๑๘ คน เปิดเรียนเวลา ๐๘.๓๐ น.