ข้ามไปเนื้อหา

เมซุท เออซิล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ ชนาธิป
เออซิลกับอาร์เซนอลใน ค.ศ. 2019
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เมซุท เออซิล[1]
วันเกิด (1988-10-15) 15 ตุลาคม ค.ศ. 1988 (36 ปี)[2]
สถานที่เกิด เก็ลเซินเคียร์เชิน เยอรมนีตะวันตก
ส่วนสูง 1.80 เมตร (5 ฟุต 11 นิ้ว)[3]
ตำแหน่ง กองกลางตัวรุก
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
อิสตันบูลบาชักเชฮีร์
หมายเลข 10
สโมสรเยาวชน
1995–1998 Westfalia 04 Gelsenkirchen
1998–1999 Teutonia Schalke-Nord
1999–2000 Falke Gelsenkirchen
2000–2005 Rot-Weiss Essen
2005–2006 ชัลเคอ 04
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2006–2008 ชัลเคอ 04 30 (0)
2008–2010 แวร์เดอร์เบรเมิน 71 (13)
2010–2013 เรอัลมาดริด 105 (76)
2013–2021 อาร์เซนอล 184 (69)
2021–2022 เฟแนร์บาห์แช 32 (8)
2022-2023 อิสตันบลูบาชักเชฮีร์ 4 (0)
ทีมชาติ
2006–2007 เยอรมนี อายุไม่เกิน 19 ปี 11 (13)
2007–2009 เยอรมนี อายุไม่เกิน 21 ปี 16 (18)
2009–2018 เยอรมนี 92 (23)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 21:12, 17 มกราคม ค.ศ. 2021 (UTC)

เมซุท เออซิล (ตุรกี: Mesut Özil; เกิด 15 ตุลาคม ค.ศ. 1988) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวเยอรมันเชื้อสายตุรกี[4] การเล่นครั้งล่าสุด เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกให้แก่ สโมสรฟุตบอลอิสตันบูลบาชักเชฮีร์

เออซิลเล่นให้กับแวร์เดอร์เบรเมินและทีมชาติเยอรมนี ต่อมาได้ย้ายไปเรอัลมาดริด และได้ย้ายมาอาร์เซนอลด้วยค่าตัวราว 42.5 ล้านปอนด์ในไม่กี่ชั่วโมงก่อนปิดการซื้อขายตัวนักฟุตบอล ในช่วงต้นฤดูกาล 2013–14 เออซิลเป็นผู้เล่นตัวทำเกมที่มากความสามารถ โดยยิงประตูให้เรอัลมาดริดถึง 74 ลูก ในปี 2010–13

โดยการย้ายมาอาร์เซนอลครั้งนี้ นับเป็นการทำสถิติการซื้อตัวนักฟุตบอลที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของอาร์เซนอล[5]

ในฤดูกาล 2014–15 เออซิลถูกวิจารณ์ว่าการเล่นตกลงไป ไม่โดดเด่นเหมือนฤดูกาลที่แล้ว ในต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ขณะที่เดินทางกลับไปเยอรมนี เออซิลได้ถูกตรวจพบว่าได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า ต้องพักรักษาเป็นเวลาราว 3 เดือน[6] ก่อนที่จะเริ่มกลับมาซ้อมและกลับมาลงเล่นอีกครั้งได้ในต้นปี ค.ศ. 2015[7] ในฐานะตัวสำรอง ที่เปลี่ยนตัวลงไปในนาทีที่ 73 แทนที่ออลีวีเย ฌีรู ที่ถูกเปลี่ยนออก ในนัดที่อาร์เซนอลพบกับสโตกซิตี ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ผลการแข่งขันอาร์เซนอลชนะไป 3-0[8] เออซิลถูกส่งลงแข่งขันเป็นตัวจริงนัดแรกหลังจากหายบาดเจ็บกลับมา ในรายการเอฟเอคัพรอบสี่ ที่อาร์เซนอลบุกไปเอาชนะไบรตัน & โฮปอัลเบียน ไปได้ 3-2 โดยเป็นผู้ยิงประตูที่ 2 ได้ในนาทีที่ 24 ด้วย[9] และยิงเป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกหลังจากหายอาการบาดเจ็บกลับมา ในนัดที่ 23 ของฤดูกาล ที่อาร์เซนอลเป็นฝ่ายเอาชนะแอสตันวิลลา ไปได้ถึง 5-0 ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม โดยเออซิลยิงได้ในนาทีที่ 56 นับเป็นประตูที่ 2 ของการแข่งขันนัดนี้[10]

และต่อมาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ (PFA) ประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 2015[11]

ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2015–16 รอบแบ่งกลุ่ม อาร์เซนอลอยู่ในกลุ่มเอฟ และมีสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องชนะบาเยิร์นมิวนิกให้ได้ที่สนามเอมิเรตส์ เนื่องจากอาร์เซนอลก่อนหน้านั้นแพ้มาแล้ว 2 นัด ยังไม่มีคะแนนเลย ขณะที่บาเยิร์นมิวนิกตั้งแต่เปิดฤดูกาลมายังไม่เคยแพ้ใคร ซ้ำยังเป็นผู้ชนะติดต่อกันรวด 12 นัดในทุกรายการ และผู้เล่นทุกคนเล่นได้อย่างโดดเด่นมาก โดยเฉพาะรอแบร์ต แลวันดอฟสกี กองหน้าของทีม ที่ยิงในบุนเดิสลีกาได้ถึง 5 ลูกก่อนหน้านั้น แต่ในครั้งนี้ เออซิลสามารถยิงประตูได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 4 ของครึ่งหลัง นับเป็นประตูที่ 2 จบการแข่งขันอาร์เซนอลชนะบาเยิร์นมิวนิกไป 2-0 ทำให้ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์เข้ารอบต่อไป และทำให้บาเยิร์นมิวนิกแพ้เป็นนัดแรกของฤดูกาลอีกด้วย[12]

ในฤดูกาล 2015–16 เออซิลได้ทำสถิติใหม่ ด้วยเป็นผู้จ่ายส่งลูกบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้ในลีกมากที่สุด โดยลงเล่นทั้งหมด 57 นัดทำไป 21 การจ่ายส่ง คิดเป็นจ่าย 1 ประตูต่อ 2.71 นัด และยังทำสถิตินี้ติดต่อกันถึง 10 ครั้งด้วยกัน ชนิดที่ไม่มีผู้เล่นคนไหนทำได้มาก่อน[13] ทำลายสถิติเดิมของเอริก ก็องโตนา ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่เคยทำไว้ที่ 1 ประตูต่อ 2.79 นัด[14]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2017 เออซิลได้ออกหนังสืออัตชีวประวัติในชื่อ The Magic of the Game / Gunning for Greatness[15][16]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 เออซิลประกาศยุติการเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการในวัย 34 ปี

อ้างอิง

  1. "Updated squads for 2017/18 Premier League confirmed". Premier League. 2 February 2018. สืบค้นเมื่อ 10 February 2018.
  2. "FIFA World Cup South Africa 2010: List of players: Germany" (PDF). FIFA. 4 June 2010. p. 11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-05-17. สืบค้นเมื่อ 10 February 2018.
  3. "Mesut Özil: Overview". Premier League. สืบค้นเมื่อ 10 February 2018.
  4. White, Duncan (12 June 2010). "Germany v Australia: Mesut Ozil at head of the vanguard for new generation". Telegraph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 17 June 2010.
  5. หน้า 20 กีฬา, มองการบริหารจัดการจาก 'ตลาดนักเตะ'. "ฟรีสไตล์" โดย ณัฐวุฒิ ประคองศิลป์. เดลินิวส์ฉบับที่ 23,340: เสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556
  6. "'ปืน'ปวดตับ! 'อินทรี'ยัน'โอซิล' เข่าพังพักยาว 12 วีค". ไทยรัฐ. 8 October 2014. สืบค้นเมื่อ 12 January 2015.
  7. "เวนเกอร์เผยโอซิลกระสันโชว์ฟอร์มแจ่ม". สยามสปอร์ต. 11 January 2015. สืบค้นเมื่อ 12 January 2015.
  8. "อเล็กซิสเบิ้ล!ปืนยิงสลุตรัวช่างปั้นหม้อยับ3-0". สยามสปอร์ต. 11 January 2015. สืบค้นเมื่อ 12 January 2015.
  9. ""ปืนโต" เชือดหวิว 3-2 "วัลคอตต์-โอซิล" คัมแบ็กซัด". ผู้จัดการออนไลน์. 26 January 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 26 January 2015.
  10. หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, ปืนใหญ่ยิงสลุตวิลลายับ 5-0. "ปืนใหญ่รัวฆ่าสิงห์ผงาด". เดลินิวส์ฉบับที่ 23,853: วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย
  11. "โอซิล ผงาดซิวนักเตะยอดเยี่ยม PFA เดือนเมษายน". arsenal.in.th. 1 May 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-07. สืบค้นเมื่อ 2 May 2015.
  12. "Arsenal 2 - 0 Bayern Munich". livescore.net. 2015-05-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-24. สืบค้นเมื่อ 2015-10-21.
  13. "ราชาแอสซิสต์". ไทยรัฐ. 2015-11-10. สืบค้นเมื่อ 2015-11-11.
  14. ""โอซิล" ขึ้นแท่น "ราชาแอสซิสต์" แห่งพรีเมียร์ฯ แซง "ก็องโต"". ผู้จัดการออนไลน์. 2015-10-27. สืบค้นเมื่อ 2015-11-11.[ลิงก์เสีย]
  15. "Revealed: How Mesut Ozil pleaded with Arsenal manager Arsene Wenger to end his Real Madrid hell". Metro.co.uk. 3 March 2017. สืบค้นเมื่อ 13 March 2017.
  16. "Arsenal's Mesut Özil was called a 'coward' by Jose Mourinho in blistering dressing-room row at Real Madrid". Independent.co.uk. 2 March 2017. สืบค้นเมื่อ 13 March 2017.

แหล่งข้อมูลอื่น