พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ | |
---|---|
พระมหากษัตริย์แห่งอียิปต์และซูดาน องค์อธิปัตย์แห่งนิวเบีย, คูร์ดูฟาน และดาร์ฟูร์[1] | |
ครองราชย์ | 28 เมษายน ค.ศ. 1936 – 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 (16 ปี 89 วัน) |
ก่อนหน้า | พระเจ้าฟุอาดที่ 1 แห่งอียิปต์ |
ถัดไป | พระเจ้าฟุอาดที่ 2 แห่งอียิปต์ |
พระราชสมภพ | 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 พระราชวังอับดีน ไคโร รัฐสุลต่านอียิปต์ |
สวรรคต | 18 มีนาคม ค.ศ. 1965 (45 พรรษา) โรงพยาบาลซานคามิลโล โรม อิตาลี[2] |
พระบรมราชินี | ซาฟีนาซ ซุลฟิการ์ (ค.ศ. 1938 – 1948) นาร์รีมาน ซาเดก (ค.ศ. 1951 – 1954) |
พระราชบุตร | เจ้าหญิงเฟริยาล เจ้าหญิงเฟาซียะห์ เจ้าหญิงฟาดียะห์ พระเจ้าฟุอาดที่ 2 |
ราชวงศ์ | มูฮัมหมัดอาลี |
พระราชบิดา | พระเจ้าฟุอาดที่ 1 แห่งอียิปต์ |
พระราชมารดา | นาซลี ซาบรี |
ลายพระอภิไธย |
พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ (อาหรับ:فاروق الأول Fārūq al-Awwal) (11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920-18 มีนาคม ค.ศ. 1965) พระมหากษัตริย์แห่งอียิปต์และซูดาน และองค์อธิปัตย์แห่งนิวเบีย, คูร์ดูฟาน และดาร์ฟูร์ แห่งราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี โดยพระองค์ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าฟุอาดที่ 1 แห่งอียิปต์ พระราชบิดา ส่วนพระขนิษฐาของพระองค์ เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี เป็นราชินีแห่งอิหร่าน
ก่อนเกิดการปฏิวัติอียิปต์ ค.ศ. 1952 ได้ทำการถอดพระองค์ออกจากราชสมบัติ แล้วยกพระราชโอรสของพระองค์เป็นกษัตริย์องค์ต่อมาพระนามว่า พระเจ้าฟุอาดที่ 2 แห่งอียิปต์ แต่ปกครองได้เพียงปีเดียวรัฐบาลก็ได้ทำการล้มล้างราชวงศ์ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ
พระราชประวัติ
[แก้]พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ ประสูติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 พระองค์เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ และสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ โดยพระองค์นั้นมีศักดิ์เป็นลื่อของมูฮัมหมัด อาลี ปาชา วาลิแห่งอียิปต์และซูดาน ต้นพระราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี ซึ่งมีเชื้อสายแอลเบเนีย ส่วนโดยส่วนพระเจ้าฟารูกเอง พระองค์มีเชื้อสายอียิปต์ และฝรั่งเศสจากพระราชมารดา โดยก่อนที่พระราชบิดาจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยวูลวิช สหราชอาณาจักร เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา และต่อมาเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 17 พรรษา จึงมีพิธีสวมมงกุฎขึ้น[3] พระราชบิดาของพระองค์ได้เสด็จสวรรคต โดยในพระราชพิธีสวมมงกุฎของพระองค์ พระองค์ได้มีพระราชดำรัสแก่ประชาชนด้วย พระองค์สามารถรับสั่งเป็นภาษาอาหรับ ภาษาตุรกี ภาษาอิตาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย ภาษาเยอรมัน และภาษาสเปน
พระองค์มีวิถีชีวิตที่น่าลุ่มหลงฟุ่มเฟือยฟู่ฟ่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ในดินแดนที่ยิ่งใหญ่ พระราชวัง 12 แห่ง รถยนต์พระที่นั่งกว่า 100 คัน และพระองค์ยังโปรดเสด็จประพาสดินแดนยุโรปอย่างเกษมสำราญอยู่บ่อย ๆ จึงสร้างความไม่พอใจในหมู่ไพร่ฟ้าประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อพระเจ้าฟารูกขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ปลุกใจแก่ประชาชนชาวอียิปต์ได้เนื่องจากพระองค์มีเชื้อสายอียิปต์จากพระมารดา แม้พระราชวงศ์จะมาจากเชื้อสายแอลเบเนีย แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของพระองค์นั้นถือว่าวิกฤต เนื่องจากพระองค์ยังไม่มีความพร้อมในการปกครอง และเห็นได้ว่าพระองค์ได้มีความเห็นไม่ลงรอยกับผู้อื่นทั้งหมดในขณะขึ้นครองราชบัลลังก์
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]ในระหว่างช่วงทุกข์ยากของสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ถูกเพ่งเล็งในเรื่องของการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย พระองค์ได้พิพากษาคดีที่พระราชวังในเมืองอเล็กซานเดรียของพระองค์ถูกเผา ในขณะที่พลเมืองกำลังอยู่อย่างสิ้นหวัง เนื่องจากอิตาลีและเยอรมันได้ทิ้งระเบิดทำลาย แต่พระเจ้าฟารูกคิดว่าเป็นการกระทำของคนกลุ่มอื่น ในขณะนั้นอังกฤษได้เริ่มกลับมายึดครองดินแดนอียิปต์อีกครั้ง ชาวอียิปต์จำนวนมากพร้อมด้วยพระเจ้าฟารูก ซึ่งได้พยายามโน้มน้าวเยอรมันและอิตาลีให้ทำการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามชาวอังกฤษที่พำนักในอียิปต์ก็วางตัวเป็นกลาง จนกระทั่งสิ้นสุดยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พระเจ้าฟารูกเป็นผู้ที่มีความเห็นใจเข้าข้างฝ่ายอักษะ ได้กล่าวต้นรับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี ทั้งที่อยากจะมาบุกรุกอียิปต์ แต่พระเจ้าฟารูกได้เปิดเผยตัวเป็นฝ่ายอักษะภายใต้การกดดันอย่างหนักของอังกฤษเป็นเวลานาน ใน ค.ศ. 1945 หลังจากการต่อสู้ในทะเลทรายได้สิ้นสุดลง
การล้มล้างราชบัลลังก์
[แก้]ในช่วงสงครามปาเลสไตน์ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างยิวและอาหรับ อียิปต์ได้เข้าร่วมสงครามในนามของชาติสันนิบาตอาหรับ จึงสร้งความไม่พอใจแก่อังกฤษ ทางอังกฤษจึงได้ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านพระเจ้าฟารูกในการล้มล้างพระราชบัลลังก์ ในช่วงนี้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในเหล่าข้าราชการ บางพวกใช้อำนาจหน้าที่ของตนสร้างความร่ำรวยแก่ตนเอง ขณะที่เหล่าราษฎรอยู่อย่างยากลำบาก แต่ราชสำนักและเหล่าข้าราชการกลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย
พระเจ้าฟารูกได้รับการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเรื่องของการปกครองที่ไม่ได้ผล ประกอบกับการเข้ามาปกครองอีกครั้งของอังกฤษ รวมไปถึงการเสียดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่อิสราเอลถึงร้อยละ 78 ในสงครามอาหรับ-อิสราเอล ค.ศ. 1948 ทำให้เหล่าพสกนิกรต่างไม่พอใจในการปกครองของพระเจ้าฟารูก ท้ายที่สุดในวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 กลุ่มขวนการ Free Officers Movement ภายใต้การนำของมูฮัมเหม็ด นาจีบ และกาเมล อับเดล นัสซอร์ ได้กระทำการรัฐประหารใน ค.ศ. 1952 โดยบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ และเสด็จลี้ภัยไปยังประเทศโมนาโก และประเทศอิตาลี ทันทีทันใดหลังจากการสละราชสมบัติของพระเจ้าฟารูก ก็ได้มีการยกเจ้าชายอาเหม็ด ฟูอัด พระราชโอรสของพระเจ้าฟารูกที่ยังเป็นทารกอยู่เสด็จขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็น พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ แต่เมื่อครองราชย์ได้ 324 วัน ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ จึงเป็นอันสิ้นสุดการปกครองภายใต้ราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี
ชีวิตหลังการสละราชสมบัติและการสวรรคต
[แก้]หลังจากเสด็จลี้ภัยจากประเทศอียิปต์แล้ว พระองค์ได้เข้าไปพำนักในประเทศโมนาโก โดยพระองค์ได้ถูกถอดสัญชาติอียิปต์โดยสหพันธ์สาธารณรัฐอาหรับ[4] แต่ภายหลังพระองค์ได้รับพระราชทานสัญชาติโมนาโกจากเจ้าชายเรนิเยที่ 3 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก ซึ่งเป็นพระสหาย[5] และภายหลังได้เข้ามาพำนักในกรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยพระองค์ได้รับเป็นพลเมืองของโมนาโก พระองค์มีปัญหาเกี่ยวกับการเสวยอาหาร จนทำให้มีพระวรกายใหญ่ และมีพระน้ำหนักเกือบ 300 ปอนด์ (136 กิโลกรัม) ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จสวรรคตในภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่งในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1965 ขณะที่พระองค์กำลังเสวยพระกระยาหารมื้อใหญ่[6] โดยที่พระองค์ได้ทรุดพระองค์ และสวรรคต แม้ว่าหน่วยข่าวกรองบางส่วนของอียิปต์คิดว่าเป็นการวางยาพิษลอบปลงพระชนม์ เนื่องจากไม่มีการตรวจชันสูตรพระศพ รวมไปถึงมื้อกระยาหารเหล่านั้นด้วย[7] โดยงานพระศพของพระองค์นั้นตามเดิมต้องจัดที่มัสยิดอัลริฟะอี (Al-Rifa'i Mosque) กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ แต่การขอร้องถูกปฏิเสธโดยทางการอียิปต์ ซึ่งนำโดยนายกาเมล อับเดล นัสซอร์ พระศพของพระเจ้าฟารูกจึงถูกฝังในประเทศอิตาลีเอง เจ้าชายไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย (พระยศในขณะนั้น) จึงได้โปรดให้ทำการฝังพระเจ้าฟารูกในประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อประธานาธิบดีนัสซอร์เห็นเช่นนั้น จึงได้ให้นำพระศพมาฝังยังประเทศอียิปต์ ณ มัสยิดอัลริฟะอี
อภิเษกสมรส
[แก้]พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ โดยครั้งแรกพระองค์ได้มีความสัมพันธ์กับ บาร์บารา สเกลตัน นักเขียนชาวอังกฤษ ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ทั้งสองจึงไม่ได้แต่งงานกัน พระเจ้าฟารูกจึงได้ทำการอภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง ดังต่อไปนี้
- สมเด็จพระราชินีฟารีดาแห่งอียิปต์ (1921–1988) พระนามเดิม ซาฟีนาซ ซุลฟิการ์ ต่อมาได้เปลี่ยนพระนามเป็น ฟารีดา ได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1938 ต่อมาได้ทรงหย่ากัน เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 เนื่องจากมิทรงให้พระประสูติกาลพระราชโอรส โดยทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ ได้แก่
- เจ้าหญิงเฟริยาล (1938-2009)
- เจ้าหญิงเฟาซียะห์ (1940- 2005)
- เจ้าหญิงฟาดียะห์ (1943-2002)
- สมเด็จพระราชินีนาร์รีมานแห่งอียิปต์ (1934–2005) พระนามเดิม นาร์รีมาน ซาเดก ได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1952 ต่อมาได้ทรงหย่ากันเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1954 เนื่องจากทรงเบื่อหน่ายกับการลี้ภัย ทั้งสองพระองค์ได้ให้พระประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรก และพระองค์เดียว คือ
- พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ (1952-)
ผู้ที่อ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระเจ้าฟารูก
[แก้]- อีร์มา กาเปเซ มีนูโตโล (1935-) หรือชื่อปัจจุบันคือ อีร์มา กาเปเซ มีนูโตโล ฟารุก[8] อดีตนักร้องโอเปราจากประเทศอิตาลี ซึ่งเคยเป็นพระสหายเก่า โดยในปี ค.ศ. 2005 เธอได้อ้างว่า เธอได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าฟารูก ในปี ค.ศ. 1957[9] ไม่ปรากฏว่ามีพระโอรสธิดาด้วยกัน
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟิม (Kungliga Serafimerorden) ประเทศสวีเดน
- Annunziata ราชอาณาจักรอิตาลี
- SS Cyril & Methodius ราชอาณาจักรบัลแกเรีย
- เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ฝ่ายหน้า (ม.จ.ก.) (ประเทศไทย)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์ฮัชไมต์ (the Grand Order of the Hashimites) ราชอาณาจักรอิรัก
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์โซโลมอน the Grand Collar and Chain of the Order of Solomon จักรวรรดิเอธิโอเปีย
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์ปาห์ลาวี (the Grand Collars of the Orders of Pahlavi) ประเทศอิหร่าน
- the Supreme Sun ประเทศอัฟกานิสถาน
- the Grand Collar ราชอาณาจักรแอลเบเนีย
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ (the Collars of the Orders of the Chrysanthemum) ประเทศญี่ปุ่น
- Idris I ราชอาณาจักรลิเบีย
- Hussein ibn 'Ali ประเทศจอร์แดน
- GC of the Orders of the Redeemer ราชอาณาจักรกรีซ
- the Netherlands Lion ประเทศเนเธอร์แลนด์
- เครื่องอิสริยาภรณ์เลชียงดอนเนอร์ (Legion d'Honneur) ประเทศฝรั่งเศส
- SS Maurice & Lazarus ราชอาณาจักรอิตาลี
- Carol I with collar ราชอาณาจักรโรมาเนีย
- Star of Karageorge ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย
- Leopold of Belgium (mil) ประเทศเบลเยียม
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์มังกรแห่งอันนัม (The Imperial Order of the Dragon of Annam) จักรวรรดิเวียดนาม
- St Charles ประเทศโมนาโก
- Renaissance (special class) in brilliants ประเทศจอร์แดน
- the Omayyad ประเทศซีเรีย
- (Orders of the White Eagle) ประเทศโปแลนด์
- the White Lion ประเทศเชโกสโลวาเกีย
- 1st class with collar Chief Cdr. Legion of Merit สหรัฐอเมริกา
พระราชตระกูล
[แก้]พงศาวลีของพระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
[10]
|
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Whiteman, Marjorie Millace; Hackworth, Green Haywood (1963). Digest of International Law (snippet view). Vol. 2. United States Department of State. p. 64. OCLC 79506166. สืบค้นเมื่อ 2010-02-26.
The Egyptian Parliament amended the Constitution by Law 176 of October 16, 1951, to provide that the title of the King should be "King of Egypt and the Sudan" instead of "King of Egypt, Sovereign of Nubia, Sudan, Kordofan, and Darfur".
- ↑ 2.0 2.1 Egypt14
- ↑ Rizk, Yunan Labib (28 July – 3 August 2005). "Crowning moment". Al-Ahram Weekly (753). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-14. สืบค้นเมื่อ 2010-02-25.
- ↑ Halsey, William Darrach; Friedman, Emanuel (1983). "Faruk I". Collier's Encyclopedia with Bibliography and Index. Vol. 9. New York: Macmillan Educational Co. p. 574. OCLC 9355858. สืบค้นเมื่อ 2010-02-25.
- ↑ "Monaco Makes Farouk Citizen". Deseret News. 351 (107): A3. May 5, 1959. สืบค้นเมื่อ 2010-02-25.
- ↑ "Time: "Egypt: A Tale of Two Autocrats", Mar. 26, 1965". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-14. สืบค้นเมื่อ 2010-01-09.
- ↑ Farouk of Egypt เก็บถาวร 2009-10-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Accessed 2010.02.26.
- ↑ "Website of Irma Capece Minutolo Farouk". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-21. สืบค้นเมื่อ 2021-08-18.
- ↑ "Thrice-married man?". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-16. สืบค้นเมื่อ 2010-01-09.
- ↑ Montgomery-Massingberd, Hugh, บ.ก. (1980). "The French Ancestry of King Farouk of Egypt". Burke's Royal Families of the World. Vol. Volume II: Africa & the Middle East. London: Burke's Peerage. p. 287. ISBN 9780850110296. OCLC 18496936.
{{cite book}}
:|volume=
has extra text (help)
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Ashraf Pahlavi "Faces in a Mirror", Englewood Cliffs: Prentice-Hall, Inc., 1980
- McLeave, Hugh The Last Pharaoh : Farouk of Egypt, New York : McCall Pub. Co., 1970, 1969 ISBN 0841500207.
- New King, Old Trouble, Time Magazine, Monday, May 11, 1936. เก็บถาวร 2013-08-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Sadat, Jehan "A Woman of Egypt", New York: Simon and Schuster, 1987 ISBN 0671540713
- Stadiem, William Too Rich: The High Life and Tragic Death of King Farouk, New York: Carroll & Graf Pub, 1991 ISBN 0881846295
ก่อนหน้า | พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ | กษัตริย์แห่งอียิปต์ (28 เมษายน ค.ศ. 1936 – 19 ตุลาคม ค.ศ. 1951) |
เปลี่ยนตำแหน่ง สนธิสัญญาอังกฤษ-อียิปต์ ค.ศ. 1936 | ||
เริ่มตำแหน่งใหม่ สนธิสัญญาอังกฤษ-อียิปต์ ค.ศ. 1936 |
กษัตริย์แห่งอียิปต์และซูดาน (19 ตุลาคม ค.ศ. 1951 – 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1952) |
พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ |
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2463
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2508
- พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์
- พระมหากษัตริย์อียิปต์
- ชาวอียิปต์เชื้อสายกรีก
- ชาวอียิปต์เชื้อสายฝรั่งเศส
- ชาวอียิปต์เชื้อสายแอลเบเนีย
- ชาวอียิปต์เชื้อสายตุรกี
- ชาวอียิปต์เชื้อสายเซอร์แคเซีย
- มุสลิมชาวอียิปต์
- ราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก. (ฝ่ายหน้า)
- ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
- พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสละราชสมบัติ
- ผู้นำที่พ้นตำแหน่งจากรัฐประหาร
- เจ้าแผ่นดินที่ถูกปลดจากราชบัลลังก์