ข้ามไปเนื้อหา

วินสตัน เชอร์ชิล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Winston Churchill)
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล
Winston Churchill
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร
ดำรงตำแหน่ง
26 ตุลาคม 1951 – 5 เมษายน 1955
กษัตริย์
รองแอนโทนี อีเดน
ก่อนหน้าเคลเมนต์ แอตต์ลี
ถัดไปแอนโทนี อีเดน
ดำรงตำแหน่ง
10 พฤษภาคม 1940 – 26 กรกฎาคม 1945
กษัตริย์จอร์จที่ 6
รองเคลเมนต์ แอตต์ลี (1942–1945)
ก่อนหน้าเนวิล เชมเบอร์ลิน
ถัดไปเคลเมนต์ แอตต์ลี
ตำแหน่งทางการเมืองอาวุโส
บิดาแห่งสภาสามัญชนสหราชอาณาจักร
ดำรงตำแหน่ง
8 ตุลาคม 1959 – 25 กันยายน 1964
ก่อนหน้าเดวิด เกร็นเฟลล์
ถัดไปราบ บัตเลอร์
ผู้นำฝ่ายค้าน
ดำรงตำแหน่ง
26 กรกฎาคม 1945 – 26 ตุลาคม 1951
นายกรัฐมนตรีเคลเมนต์ แอตต์ลี
ก่อนหน้าเคลเมนต์ แอตต์ลี
ถัดไปเคลเมนต์ แอตต์ลี
หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม
ดำรงตำแหน่ง
9 ตุลาคม 1940 – 6 เมษายน 1955
ก่อนหน้าเนวิล เชมเบอร์ลิน
ถัดไปแอนโทนี อีเดน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
วินสตัน ลีโอนาร์ด สเปนเซอร์ เชอร์ชิล

30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874(1874-11-30)
Blenheim ออกซ์ฟอร์ดเชอร์ เเค้วนอังกฤษ สหราชอาณาจักร
เสียชีวิต24 มกราคม ค.ศ. 1965(1965-01-24) (90 ปี)
กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
ที่ไว้ศพSt Martin's Church, Bladon,ออกซ์ฟอร์ดเชอร์
พรรคการเมืองพรรคอนุรักษนิยม (1900–1904, 1924–1964)
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
ลิเบอรัล (1904–1924)
คู่สมรสคลีเมนไทน์ โฮซีเออร์ (สมรส 1908)
บุตร5 คน, รวมไดอานา, แรนดอล์ฟ, ซาราห์ และแมรี
บุพการี
การศึกษา
อาชีพ
บำนาญรายการทั้งหมด
ลายมือชื่อไฟล์:Winston Churchill signature.svg
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
สังกัด
ประจำการ1893–1924
ยศรายการทั้งหมด
หน่วย
บังคับบัญชา6th bn, Royal Scots Fusiliers
ผ่านศึก
บำเหน็จรายการทั้งหมด

เซอร์ วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์ เชอร์ชิล (อังกฤษ: Winston Leonard Spencer Churchill;[a] 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874 – 24 มกราคม ค.ศ. 1965) เป็นรัฐบุรุษ นายทหาร และนักเขียนชาวบริติช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 ถึง ค.ศ. 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และอีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 ถึง ค.ศ. 1955 นอกเหนือจากสองปี ระหว่างปี ค.ศ. 1922 และ ค.ศ. 1924 เชอร์ชิลล์ยังคงเป็นสมาชิกแห่งรัฐสภา (MP) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 ถึง ค.ศ. 1964 และเป็นผู้แทนทั้งหมดของห้าเขตเลือกตั้ง ด้วยอุดมการณ์คือ เศรษฐกิจแบบเสรีนิยม และลัทธิจักรวรรดินิยม เขาเป็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมในอาชีพการงานส่วนใหญ่ในตำแหน่งผู้นำ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 ถึง ค.ศ. 1955 เขาเป็นสมาชิกพรรคเสรีนิยม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ถึง ค.ศ. 1924

ด้วยบรรพบุรษที่มีสายเลือดทั้งอังกฤษและอเมริกันผสมกัน เชอร์ชิลเกิดในออกซฟอร์ดเชอร์ในครอบครัวชนชั้นสูงที่มั่นคั่งร่ำรวย เขาได้เข้าร่วมกองทัพบกบริติชในปี ค.ศ. 1895 และแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ในบริติชอินเดีย สงครามอังกฤษ-ซูดาน และสงครามบัวร์ครั้งที่สอง ซึ่งได้รับชื่อเสียงในฐานะผู้เขียนข่าวสงครามและเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทัพของเขา เขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาฝ่ายอนุรักษ์นิยมในปี ค.ศ. 1900 เขาได้พ่ายแพ้ให้กับฝ่ายเสรีนิยมในปี ค.ศ. 1904 ในรัฐบาลเสรีนิยมของเฮอร์เบิร์ท เฮนรี แอสควิธ เชอร์ชิลได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการการค้าและรัฐมนตรีมหาดไทย ได้สนับสนุนในการปฏิรูปเรือนจำและความมั่นคงทางสังคมของแรงงาน ในฐานะที่เป็นลอร์ดเอกแห่งกระทรวงทหารเรือ (First Lord of the Admiralty) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้ควบคุมการทัพกัลลิโพลี แต่ภายหลังจากนั้นก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความหายนะ เขาได้ถูกลดตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งดัชชีแลงแคสเตอร์ เขาได้ลาออกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1915 และเข้าร่วมกับรอยัล สเกาตส์ ฟูซิเลียส (Royal Scots Fusiliers) บนแนวรบด้านตะวันตกเป็นเวลาหกเดือน ในปี ค.ศ. 1918 เขาได้กลับคืนสู่รัฐบาลภายใต้การนำโดยเดวิด ลอยด์ จอร์จ และดำรงตำแหน่งอย่างต่อเนื่องในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุทโธปกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดินแดนอาณานิคม คอยดูแลสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอริชและนโยบายการต่างประเทศของอังกฤษในตะวันออกกลาง ภายหลังสองปี ได้ออกจากรัฐสภา เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหพระคลังในรัฐบาลฝ่ายอนุรักษ์นิยมของสแตนลีย์ บอลดวิน ได้คืนค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงในปี ค.ศ. 1926 เพื่อให้เป็นมาตรฐานทองคำในระดับความเท่าเทียมกันในช่วงก่อนสงคราม ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่เห็นได้ทั่วไปว่า ได้สร้างแรงกดดันเงินฝืดและกดดันเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร

เขาได้ลาออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 1930 เชอร์ชิลล์ได้เป็นผู้นำในการเรียกร้องให้อังกฤษทำการฟื้นฟูแสนยานุภาพเพื่อต่อต้านภัยคุกคามทางทหารที่เพิ่มมากขึ้นในนาซีเยอรมนี ในขณะที่การประทุของสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นลอร์ดเอกแห่งกระทรวงทหารเรืออีกครั้ง ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 เขาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาแทนที่เนวิล เชมเบอร์ลิน เชอร์ชิลล์ได้คอยควบคุมการมีส่วนร่วมของบริติชในความพยายามทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อกรกับฝ่ายอักษะ ซึ่งส่งผลให้ได้รับชัยชนะในปี ค.ศ. 1945 ภายหลังจากฝ่ายอนุรักษนิยมพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไป ปี ค.ศ. 1945 เขาก็กลายเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ท่ามกลางสงครามเย็นที่กำลังก่อตัวขึ้นกับสหภาพโซเวียต เขาได้ประกาศเตือนต่อสาธารณชนถึง "ม่านเหล็ก" ของอิทธิพลสหภาพโซเวียตในยุโรปและส่งเสริมความเป็นเอกภาพของยุโรป เขาได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในปี ค.ศ. 1951 ในวาระที่สองของเขานั้นเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการต่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์อังกฤษ-อเมริกา และแม้ว่าจะมีการแบ่งแยกดินแดนอาณานิคมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรักษาจักรวรรดิบริติชเอาไว้ได้ ภายในประเทศ รัฐบาลของเชาได้เน้นย้ำต่อการสร้างตึกรามบ้านช่องและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เชอร์ชิลล์ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1955 แม้ว่าเขาจะยังคงเป็นสมาชิกรัฐสภา จนถึงปี ค.ศ. 1964 เมื่อเขาได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1965 เขาได้รับการจัดงานศพแบบพิธีรัฐ

เชอร์ชิลล์ยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในสหราชอาณาจักรและโลกตะวันตก ซึ่งเขาถูกมองว่าเป็นผู้นำในช่วงยามสงครามที่นำมาซึ่งชัยชนะ ที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตยเสรีนิยมของยุโรป จากการแพร่กระจายของลัทธิฟาสซิสต์ ยังได้รับการยกย่องในฐานะนักปฏิรูปสังคม นักประวัติศาสตร์ จิตรกร และนักเขียน อีกทั้งรางวัลมากมายของเขาคือ รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม อย่างไรก็ตาม เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การทิ้งระเบิดที่เดรสเดิน ปี ค.ศ. 1945 และสำหรับมุมมองของเขาและความคิดเห็นเกี่ยวกับลัทธิจักรวรรดินิยมของเขาเกี่ยวกับเชื้อชาติ

ในปี ค.ศ.2020 รูปปั้นของเขาถูกทำให้เสียหาย โดยผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิว ผู้ประท้วงกล่าวว่าเขาเป็นพวกเหยียดผิว[2][3]

ชีวิตวัยเยาว์

[แก้]

วินสตันเกิดเมื่อ 30 พฤศจิกายน 1874 ที่วังเบลนิม[4][5] เกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูงซึ่งสืบทอดบรรดาศักดิ์ดยุกแห่งมาร์ลบะระ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลสเปนเซอร์[6] ตระกูลขุนนางเก่าแก่ ด้วยเหตุนี้บิดาเขาและตัวเขาจึงใช้นามสกุลว่า "สเปนเซอร์-เชอร์ชิล"[7]

วินสตัน เชอร์ชิล ในวัยเจ็ดขวบ

บรรพบุรุษของเขา จอร์จ สเปนเซอร์ ได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุล สเปนเซอร์-เชอร์ชิล เมื่อได้ขึ้นเป็นดยุกแห่งมาร์ลบะระในปี 1817 โดยบิดาของวินสตันคือ ลอร์ด รันดอล์ฟ เชอร์ชิล นั้นเป็นนักการเมืองซึ่งเป็นบุตรของจอห์น สเปนเซอร์-เชอร์ชิล ดยุกที่ 7 แห่งมาร์ลบะระ ส่วนมารดาของเขา ท่านหญิงรันดอล์ฟ เชอร์ชิล เป็นบุตรสาวของเศรษฐีชาวอเมริกันนามว่าลีโอนาร์ด เจอโรม

เมื่ออายุได้สองขวบ เขาได้ย้ายไปอาศัยในดับลินในไอร์แลนด์ ซึ่งปู่ของเขาได้รับแต่งตั้งเป็นอุปราชของที่นั่นและแต่งตั้งบิดาของเขาเป็นเลขาส่วนตัว ซึ่งในช่วงเวลานี้ มารดาของเขาได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สอง คือ จอห์น สเตรนจ์ สเปนเซอร์-เชอร์ชิล จากการที่วินสตันเป็นหลานของอุปราช ทำให้เขาได้เห็นการสวนสนามบ่อย ๆ ในที่ทำงานของปู่ (ปัจจุบันคือทำเนียบประธานาธิบดีไอร์แลนด์) ทำให้วินสตันตัวน้อยเกิดความชอบทหารขึ้น[8][9]

ในขณะที่อยู่ในดับลิน วินสตันมีพี่เลี้ยงคอยสอนการเขียนอ่านและวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยเหตุที่วินสตันไม่ค่อยได้เจอพ่อแม่ ทำให้เขาสนิทสนมกับพี่เลี้ยง นางเอลิซาเบธ อันน์ เอเวอเรสต์ เป็นอย่างมาก นางเป็นทั้งพี่เลี้ยง, พยาบาล และแม่นม[10] โดยทั้งสองมักจะพากันไปเล่นที่สวนสาธารณะฟีนิกซ์เสมอ ๆ[11][12]

วินสตันในวัยเด็กนั้น มีนิสัยดื้อและไม่ชอบเชื่อฟังใคร ดังนั้นเมื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนเขาจึงมีผลการเรียนไม่ดี[13]เขาเข้าศึกษาในโรงเรียนเอกชนสามแห่ง คือ โรงเรียนเซนต์จอร์จในเบิร์กเชอร์, โรงเรียนบรันสวิกใกล้กับไบรตัน และ โรงเรียนฮาร์โรวในลอนดอนซึ่งเป็นโรงเรียนที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย ที่ฮาร์โรวนี้ เขาได้เข้าเป็นสมาชิกในหน่วยปืนไรเฟิลฮาร์โรว[14] ในขณะที่เรียนอยู่ที่ฮาร์โรว วินสตันเป็นเด็กอ้วนเตี้ยผมแดงและพูดติดอ่าง ถึงจะมีผลการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์เป็นอันดับหนึ่งในชั้นเรียน แต่ผลการเรียนรวมกลับเป็นอันดับที่โหล่ในห้องบ๊วยของชั้นและก็ติดอันดับนี้เรื่อยมา แม้ว่าการเรียนจะทำได้ไม่ดีแต่วินสตันกลับชอบวิชาภาษาอังกฤษ ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ฮาร์โรวนี้ มารดาของเขาแทบจะไม่มาเยี่ยมเลยถึงขนาดที่เขาต้องเขียนจดหมายไปขอให้ทางบ้านมาเยี่ยมบ้างหรือไม่ก็ยอมให้เขากลับไปบ้าน ยิ่งความสัมพันธ์กับบิดานั้นยิ่งห่างเหิน[15] บิดาของเขาถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ 24 มกราคม 1895 ในวัย 45 ปี การตายของบิดานั้นได้ทำให้วินสตันฉุกคิดขึ้นได้ว่า เขาอาจจะต้องตายเมื่ออายุยังไม่มากเหมือนบิดา ดังนั้นเขาจึงควรรีบทำอะไรซักอย่างเพื่อจารึกชื่อเขาลงในประวัติศาสตร์[16]

ราชการทหาร

[แก้]
เชอร์ชิลในเครื่องแบบร้อยตรี ปี 1895

หลังจากวินสตันออกจากแฮร์โรวในปี 1893 เขาก็เข้าเรียนต่อในราชวิทยาลัยการทหาร เมืองแซนด์เฮิสต์ ซึ่งเขาต้องสอบถึงสามครั้งกว่าจะผ่านเข้าเรียน โดยเขาเข้าเรียนในหมวดทหารม้าแทนที่จะเป็นทหารราบ เนื่องจากทหารม้าต้องการผลการเรียนที่ต่ำกว่าและเขาไม่อยากเรียนคณิตศาสตร์อีก เขาจบการศึกษาเป็นคนที่ 8 ของห้องเรียนซึ่งมี 150 คนในเดือนธันวาคม 1894[17] และแม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถโอนย้ายไปหมวดทหารราบตามที่บิดาหวังไว้ แต่เขากลับเลือกที่จะสังกัดทหารม้าและได้ยศเป็นร้อยตรีประจำ กรมทหาร 4th Queen's Own Hussars ในเดือนกุมภาพันธ์ 1895[14] ซึ่งปีเดียวกันนี้เขาได้เดินทางไปยังคิวบาเพื่อสังเกตการณ์การต่อสู้ระหว่างกองทัพสเปนกับฝ่ายกองกำลังปลดแอกคิวบา ระหว่างอยู่ที่คิวบานี้เองเขาได้สูบฮาวานาซิการ์และสูบเรื่อยมาตลอดชีวิตเขา ในปี 1941 เขาได้รับโปรดเกล้าเป็นกรณีพิเศษเป็นผู้พันประจำกรมทหาร 4th Hussars ซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้รับโปรดเกล้าให้อวยยศนี้ขึ้นอีกเป็นผู้บัญชาการ ซึ่งปกติ สิทธิพิเศษนี้มีแต่สำหรับพระบรมวงศ์เท่านั้น

วินสตันได้รับค่าตอบแทนในยศร้อยตรีประจำ 4th Hussars ปีละ 300 ปอนด์ อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าเขาต้องการอย่างน้อยปีละ 500 (เทียบเท่า £55,000 ในปี 2012[18]) เพื่อให้เขามีวิถีชีวิตที่ดีเทียบเท่านายทหารคนอื่น ๆ ในหน่วย แม้ว่ามารดาจะส่งเงินให้เขาปีละ 400 ปอนด์แต่ก็ไม่พอเนื่องจากเขาเป็นคนมือเติบ วินสตันไม่สนใจการเลื่อนยศมากนักเหมือนที่ทหารคนอื่น ๆ เป็น เขาต้องการเป็นผู้สื่อข่าวสายทหารโดยต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการต่าง ๆ[19] โดยอาศัยเส้นสายของครอบครัวที่มีอยู่ในสังคมชั้นสูง เขาเป็นผู้สื่อข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์ในลอนดอนเป็นระยะเวลากว่าเจ็ดปี[20] นอกจากนี้ยังมีงานเขียนเกี่ยวกับปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นของตนเอง

ประจำการในอินเดีย​

[แก้]

ต้นเดือนตุลาคม 1896 เขาถูกโอนย้ายไปประจำการยังบริติชราช ในขณะที่เรือกำลังเทียบท่าที่มุมไบ เขาประสบอุบัติเหตุทำให้ข้อไหล่ขวาหลุด ทำให้เขาใช้แขนขวาได้ไม่เต็มที่ไปตลอดชีวิต เขาเคยเป็นนักโปโลมือหนึ่งในหน่วย[21] แม้หลังบาดเจ็บเขาก็ยังคงเล่นโปโลต่อไปแต่ใช้สายหนังหิ้วแขนขวาแทน[22]

ในปีเดียวกันเขาก็เดินทางไปบังคาลอร์ในฐานะนายทหารหนุ่ม ในหนังสือของเขาอธิบายว่า บังคาลอร์เป็นเมืองที่มีสภาพอากาศเยี่ยม และที่อยู่ของเขาเป็นวังสีชมพูขาวใจกลางสวนหย่อมงดงามรายล้อม มีคนใช้ชื่อโธพิ, มีคนสวน, มียาม และมีคนหามน้ำ ในบังคาลอร์นี้เองที่เขาได้พบกับสตรีชื่อ พาเมลลา พลอว์เดน (Pamela Plowden) ลูกสาวของคนใช้และเป็นรักแรกของเขา[23] วินสตันยังได้อธิบายถึงสตรีชาวอังกฤษในอินเดียว่าพวกหล่อนนั้นไม่เป็นที่พึงประสงค์เพราะมีความมั่นใจในความงามของตนเองจนเกินไป จดหมายที่เขาเขียนถึงบ้านยังแสดงให้เห็นว่า เขาพยายามเป็นกลางและหลีกเลี่ยงประเด็นการเมืองอังกฤษซึ่งกำลังมีความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย คือฝ่ายค้านที่มีลอร์ดโรสเบรีกับโจเซฟ เชมเบอร์ลิน และฝ่ายรัฐบาลลอร์ดลันสดาวน์ที่ต้องการเพิ่มงบประมาณกองทัพ[22]

งานการเมือง

[แก้]
ส.ส. วินสตัน เชอร์ชิล ปี 1904

สมาชิกสภาสมัยแรก

[แก้]

ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1900 เขาชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.จากโอลด์แฮม[24] หลังจากชนะการเลือกตั้งเขาก็เริ่มเดินสายปราศรัยทั้งในเกาะบริเตนและสหรัฐอเมริกา สร้างรายได้ให้แก่เขาถึง 10,000 ปอนด์ (เทียบเท่า 980,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) นอกจากนี้ระหว่างปี 1903 ถึง 1905 เขายังได้ร่วมเขียนหนังสือชีวประวัติสองเล่มของบิดา ลอร์ดรันดอล์ฟ เชอร์ชิล[25]

วาระแรกในรัฐสภา วินสตันไปสมาคมอยู่กับพรรคอนุรักษนิยมซึ่งในขณะนั้นเป็นเสียงข้างน้อยนำโดย ลอร์ดฮิวจ์ เซซิล ซึ่งมีชื่อเรียกลำลองในสภาว่า "พวกฮิวจ์" วินสตันได้อภิปรายคัดค้านรายจ่ายด้านการทหารของรัฐบาล[26] ตลอดจนคัดค้านการเสนอให้ขึ้นภาษีของรัฐมนตรีโจเซฟ เชมเบอร์ลิน การคัดค้านของวินสตันก็เพื่อหวังรักษาอิทธิพลทางเศรษฐกิจของอังกฤษ ในขณะที่พวกฮิวจ์ส่วนใหญ่ดูจะสนับสนุนนโยบายขึ้นภาษี ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปวินสตันก็ยังสามารถรักษาเก้าอี้ ส.ส.ของตนเองไว้ได้ แต่ด้วยความขัดแย้งเรื่องนโยบายภาษีกับพรรคอนุรักษนิยม เขาก็ตัดสินใจครั้งสำคัญโดยย้ายไปสังกัดพรรคเสรีนิยมแทน ในฐานะสมาชิกพรรคเสรีนิยม เขายังคงสนับสนุนแนวคิดเรื่องเขตการค้าเสรี และเมื่อพรรคเสรีนิยมได้เป็นรัฐบาลที่นำโดยเซอร์เฮนรี แคมป์เบล-แบนเนอร์มัน ในปี 1905 วินสตันก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการอาณานิคม ดูแลนิคมแอฟริกาใต้ภายหลังสงครามโบเออร์ และมีส่วนร่างรัฐธรรมนูญทรานส์วาลซึ่งหวังนำเสถียรภาพมาสู่นิคมแอฟริกาใต้ วินสตันได้สูญเสียเก้าอี้ส.ส.จากโอลด์แฮมไปในการเลือกตั้งปี 1906

การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย

[แก้]

ส.ส. วินสตันเป็นบุคคลที่ต่อต้านความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพื่อปลดแอกอินเดียรวมถึงต่อต้านกฎหมายที่จะให้เอกราชแก่อินเดีย ในปี 1920 เขากล่าวว่า "คานธีควรจะถูกมัดมือมัดเท้าไว้หน้าประตูเมืองเดลี แล้วก็ปล่อยให้ช้างตัวเบ้อเร่อเหยียบ"[27][28] ยังมีเอกสารระบุในภายหลังอีกว่า วินสตันอยากจะเห็นคานธีอดอาหารให้ตาย ๆ ไปซะ[29] วินสตันเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่า สันนิบาตป้องกันอินเดีย (India Defence League) เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อธำรงไว้ซึ่งอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย ในปี 1930 วินสตันออกมาประกาศว่า กลุ่มคนและทุกอย่างของลัทธิคานธีจะต้องถูกจับกุมและถูกทำลาย[30] วินสตันถึงขนาดแตกหักกับนายกรัฐมนตรีบอลดวินที่จะเริ่มกระบวนการให้เอกราชแก่อินเดีย โดยกล่าวว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ ในรัฐบาลอีกตราบใดที่บอลดวินยังเป็นนายกฯอยู่

นายกรัฐมนตรีสมัยแรก (ค.ศ. 1940–45)

[แก้]

หวนคืนสู่กระทรวงทหารเรือ

[แก้]

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ในวันที่ 3 กันยายน 1939 วันที่สหราชอาณาจักรประกาศสงครามต่อเยอรมัน วินสตันได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือ ตำแหน่งเดิมกับที่เขาเคยดำรงตำแหน่งในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะรัฐมนตรีฝ่ายสงคราม (War cabinet) ในรัฐบาลของเชมเบอร์ลิน[31][32] ในตำแหน่งนี้ วินสตันได้พิสูจน์ตนเองเป็นรัฐมนตรีมือดีในยุคที่เรียกว่า "สงครามลวง" ตอนแรกวินสตันเสนอแผนจะส่งกองเรือทะลวงเข้าไปในทะเลบอลติก แต่ก็เปลี่ยนแผนเป็นการวางทุ่นระเบิดเส้นทางเดินเรือไม่ให้นอร์เวย์สามารถส่งแร่เหล็กออกจากเมืองนาร์วิกไปป้อนอุตสาหกรรมทหารของเยอรมันได้ ซึ่งจะบีบเยอรมันให้เปิดฉากโจมตีนอร์เวย์ เป็นโอกาสดีที่ราชนาวีอังกฤษจะมีชัยเหนือกองเรือเยอรมัน[33] อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเชมเบอร์ลินตลอดจนคณะรัฐมนตรีฝ่ายสงครามคัดค้านแผนการนี้ทำให้แผนล่าช้าออกไป แผนวางทุ่นระเบิดอันมีชื่อว่า "ปฏิบัติการวิลเฟรด" นี้เริ่มขึ้นในวันที่ 8 เมษายน 1940 เพียงวันเดียวก่อนที่เยอรมันจะประสบความสำเร็จในการบุกครองนอร์เวย์[34]

สุนทรพจน์ "เราจักไม่มีวันยอมแพ้"

[แก้]

ในวันที่ 10 พฤษภาคม 1940 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเยอรมนีจะเข้าบุกฝรั่งเศสด้วยกลยุทธ์บลิทซ์ครีกผ่านกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ หลังจากความล้มเหลวของปฏิบัติการในประเทศนอร์เวย์ ผู้คนก็สูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐบาลของเชมเบอร์ลิน ทำให้เชมเบอร์ลินตัดสินใจลาออก ตัวเต็งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอย่างเอิร์ลแห่งฮาลิแฟกซ์ก็ถอนตัว เนื่องจากเขาไม่เชื่อมั่นว่าตัวเขาซึ่งมาจากสภาขุนนางจะสามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน แม้ว่าโดยจารีตประเพณีแล้วนายกรัฐมนตรีจะมิทูลเกล้าฯ เสนอชื่อนายกฯ คนต่อไป แต่เชมเบอร์ลินต้องการใครซักคนที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งสามพรรคในสภาสามัญชน จึงเกิดการหารือกันระหว่างเชมเบอร์ลิน, ลอร์ดฮาลิแฟกซ์, วินสตัน และเดวิด มาเกรสสัน ในที่สุดพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็ทรงเสนอชื่อวินสตันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยสิ่งแรกที่วินสตันทำคือการเขียนจดหมายขอบคุณเชมเบอร์ลินที่สนับสนุนเขา[35]

ตอนปลายของยุทธการที่ฝรั่งเศส กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษในภาคพื้นทวีปต่างพ่ายแพ้ต่อเยอรมัน หมู่เกาะอังกฤษตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้คนต่างหวาดผวาต่อการรุกรานโดยนาซีเยอรมนี ทันใดนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์กขึ้นซึ่งช่วยทหารไว้กว่าสามแสนนาย ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940 นายกรัฐมนตรีวินสตันได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาสามัญชน สุนทรพจน์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ We shall fight on the beaches ซึ่งบางส่วนของสุนทรพจน์ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นวลีที่ดีที่สุดแห่งยุค

วินสตัน เชอร์ชิลสวมหมวกเกราะขณะสัญญาณเตือนภัยดัง ระหว่างยุทธการที่บริเตน ค.ศ. 1940

...วันนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ขอสภาให้กำหนดบ่ายวันนี้เป็นวาระพิเศษเพื่อกล่าวแถลง ผมมีความลำบากใจเป็นอย่างมากที่จะต้องประกาศหายนะทางการทหารที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเรา...รากเหง้า แก่น และมันสมองของกองทัพบริติช...ดูเหมือนกำลังจะพังทลายลงในสนามรบ...ปาฏิหาริย์การปลดปล่อยซึ่งสำเร็จได้จากความกล้าหาญ จากความบากบั่น กลายเป็นที่ประจักษ์แก่เราทุกคน และราชนาวีด้วยความช่วยเหลือของชาวเรือพาณิชย์นับไม่ถ้วน ได้ใช้เรือทุกชนิดเกือบพันลำ นำพากว่า 335,000 นายทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ให้รอดพ้นจากปากมัจจุราชและความอัปยศ...มีคนบอกว่าแฮร์ฮิตเลอร์มีแผนรุกรานหมู่เกาะอังกฤษ ข้อนี้ก็เคยคิดกันมาก่อนหลายครั้ง...เราจะขอพิสูจน์ตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของเรา และเราจะผ่านพ้นภัยทรราชนี้...

แม้ว่าพื้นที่มากมายในยุโรปและรัฐเก่าแก่ขึ้นชื่อได้พ่ายแพ้หรืออาจตกอยู่ใต้เงื้อมมือของเกสตาโพและระบอบนาซีที่น่ารังเกียจก็ตาม เราจะอ่อนล้าหรือล้มเหลวไม่ได้

เราจักก้าวเดินไปถึงจุดจบ เราจักสู้ในฝรั่งเศส เราจักสู้ในท้องทะเลและมหาสมุทร เราจักสู้ด้วยความเชื่อมั่นและพลังที่เติบใหญ่ในท้องนภา เราจักปกป้องเกาะของเราไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร เราจักสู้บนชายหาด เราจักสู้บนลานบิน เราจักสู้บนท้องทุ่งและท้องถนน เราจักสู้ในหุบเขา เราจักไม่มีวันยอมแพ้...

— วินสตัน เชอร์ชิล 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940
รัฐสภาเวสต์มินสเตอร์

ชีวิตช่วงหลัง: ค.ศ. 1955–1965

[แก้]

จิตรกร นักประวัติศาสตร์ และนักเขียน

[แก้]
Allies (1995) โดยลอว์เรนซ์ โฮลอฟเซเนอร์ กลุ่มประติมากรรมที่แสดงแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์กับเชอร์ชิลที่นิวบอนด์สตรีท ลอนดอน

เชอร์ชิลเป็นนักเขียนที่ผลิตผลงานมาก ได้แก่ นวนิยาย (Savrola), ชีวประวัติ 2 เล่ม, บันทึกความทรงจำ, ประวัติศาสตร์ และบทความข่าว ผลงานที่มีชื่อเสียง 2 เล่มคือ บันทึกความทรงจำ The Second World War 6 เล่ม และ A History of the English-Speaking Peoples 4 เล่ม[36] ใน ค.ศ. 1953 เชอร์ชิลได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม "สำหรับความเชี่ยวชาญในการบรรยายประวัติศาสตร์และชีวประวัติ" และคำปราศรัย[37]

เขาใช้นามปากกา "วินสตัน เอส. เชอร์ชิล" (Winston S. Churchill) หรือ "วินสตัน สเปนเซอร์ เชอร์ชิล" (Winston Spencer Churchill) เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับนักเขียนนวนิยายชาวอเมริกันที่มีชื่อเดียวกัน ซึ่งเขาก็มีจดหมายโต้ตอบอย่างฉันมิตรด้วย[38] เป็นเวลาหลายปีที่เขาอาศัยบทความข่าวของตนเป็นอย่างมาก เพื่อบรรเทาความกังวลทางการเงิน[39]

เชอร์ชิลกลายเป็นจิตรกรมือสมัครเล่นที่ประสบความสำเร็จ เริ่มต้นหลังลาออกจากกองทัพเรือใน ค.ศ. 1915[40] โดยใช้นามแฝง "Charles Morin"[41] เขาวาดภาพถึงร้อยกว่าภาพ โดยมีหลายภาพที่จัดแสดงในสตูดิโอที่ชาร์ตเวลล์และในชุดสะสมส่วนตัว[42]

เชอร์ชิงเป็นช่างปูนมือสมัครเล่นที่ก่อสร้างอาคารและกำแพงสวนที่ชาร์ตเวลล์[41] เขาเข้าร่วม Amalgamated Union of Building Trade Workers bแต่ถูกขับออกหลังเข้าเป็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม[41] เขายังเพาะพันธุ์ผีเสื้อด้วย[43] เขาเป็นที่รู้จักจากการรักสัตว์และมีสัตว์เลี้ยงบางตัวเสมอ ส่วนใหญ่เป็นแมว แต่บางครั้งก็มีสุนัข, สุกร, แกะ, แบนแทม, แพะ และลูกสุนัขจิ้งจอก กับตัวอื่น ๆ[44]

สิ่งสืบทอดและการประเมิน

[แก้]

ครอบครัวและบรรพบุรุษ

[แก้]

เชอร์ชิลแต่งงานกับคลีเมนไทน์ โฮซีเออร์ (Clementine Hozier) ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1908[45] ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเป็นเวลา 57 ปี[46] เชอร์ชิลตระหนักดีถึงความตึงเครียดในอาชีพทางการเมือง ส่งผลต่อการแต่งงานของเขา[47] Colville รายงานว่า เขามีความรักชั่วครู่กับ Doris Castlerosse ในคริสต์ทศวรรษ 1930[48] กระนั้น แอนดรูว์ รอเบิตส์ไม่นับเรื่องนี้[49]

ไดอานา ลูกคนแรกของเชอร์ชิล เกิดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1909[50] แรนดอล์ฟ ลูกคนที่ 2 เกิดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1911[51] ซาราห์ ลูกคนที่ 3 เกิดในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1914[52] และแมรีโกลด์ ลูกคนที่ 4 เกิดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918[53] แมรีโกลด์เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1921[54] จากนั้นในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1922 จึงมีการให้กำเนิดแมรี ลูกคนสุดท้องของเชอร์ชิล ภายหลังในเดือนั้น ครอบครัวเชอร์ชิลซื้อบ้านชาร์ตเวลล์ ซึ่งภายหลังกลายเป็นบ้านของครอบครัวจนกระทั่งวินสตันเสียชีวิตใน ค.ศ. 1965[55] เจนกินส์รายงานว่า เชอร์ชิลเป็น "พ่อที่กระตือรือร้นและรักลูก" แต่เป็นคนที่คาดหวังลูกมากเกินไป[56]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. นามสกุลนี้เป็นสองนามสกุล สเปนเซอร์ เชอร์ชิล (ไม่มียัติภังค์) แต่เขาเป็นที่รู้จักด้วยนามสกุล เชอร์ชิล พ่อของเขาถอนนามสกุล สเปนเซอร์[1]

อ้างอิง

[แก้]
ตราประจำตัวของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ตรงกลางเป็นอาร์มประจำตำแหน่งดยุกแห่งมาร์ลบะระ
  1. Price 2009, p. 12.
  2. หนังสือพิมพ์ออนไลน์เวิร์คพอยท์ทูเดย์ประจำวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563 สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม พ.ศ. 2565
  3. หนังสือพิมพ์ออนไลน์ทรูไอดีประจำวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563 สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม พ.ศ. 2565
  4. Jenkins 2001, p. 5.
  5. Johnson, Paul (2010). Churchill. New York, NY: Penguin. p. 4. ISBN 0-14-311799-8.
  6. Lundy, Darryl. "Rt. Hon. Sir Winston Leonard Spencer Churchill". The Peerage. Wellington, New Zealand: Darryl Lundy. Person Page – 10620. สืบค้นเมื่อ 20 December 2007.[แหล่งอ้างอิงไม่น่าเชื่อถือ]
  7. Jenkins, pp. 1–20
  8. Jenkins, p. 7
  9. Johnson, Paul (2010). Churchill. New York, NY: Penguin. p. 4. ISBN 0-14-311799-8.
  10. Jenkins, p. 10
  11. Jordan, Anthony (1995). Churchill: A Founder of Modern Ireland. Dublin: Westport Books. pp. 11–12. ISBN 978-0-9524447-0-1.
  12. Prendeville, Tom (19 January 2012). "Secret history of the Phoenix Park". Irish Independent.
  13. "Sir Winston Churchill Biography". Encyclopædia Britannica.
  14. 14.0 14.1 Lt Churchill: 4th Queen's Own Hussars, The Churchill Centre. Retrieved 28 August 2009.
  15. Jenkins, pp. 10–11
  16. Haffner, p. 32
  17. Jenkins, pp. 20–21
  18. "Bank of England inflation calculator". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-04. สืบค้นเมื่อ 2016-11-21.
  19. Jenkins, pp. 21–45
  20. Lewis, G. K. (May 1957). "On the character and achievement of Sir Winston Churchill". The Canadian Journal of Economics and Political Science. 23 (2): 173–194.
  21. Jones, R. V. (1966). "Winston Leonard Spencer Churchill 1874–1965". Biographical Memoirs of Fellows of the Royal Society. 12: 34–26. doi:10.1098/rsbm.1966.0003. ISSN 0080-4606.
  22. 22.0 22.1 Robbins 1992, pp. 15–16
  23. "When Churchill lived in the City". Deccan Herald. No. Bangalore. 11 November 2011. สืบค้นเมื่อ 16 January 2015.
  24. "No. 27244". The London Gazette. 6 November 1900.
  25. Jenkins, p. 101
  26. Jenkins, pp. 74–76
  27. Barczewsk, Stephanie, John Eglin, Stephen Heathorn, Michael Silvestri, and Michelle Tusan. Britain Since 1688: A Nation in the World, p. 301
  28. Toye, Richard. Churchill's Empire: The World That Made Him and the World He Made, p. 172
  29. "Churchill took hardline on Gandhi". BBC News. 1 January 2006. สืบค้นเมื่อ 12 April 2010.
  30. Myers, Kevin (6 August 2010). "Seventy years on and the soundtrack to the summer of 1940 is filling Britain's airwaves". The Irish Independent. สืบค้นเมื่อ 7 November 2010.
  31. Churchill, Winston. The Second World War (abridged edition), p. 163. Pimlico (2002); ISBN 0-7126-6702-4
  32. Brendon, Piers. "The Churchill Papers: Biographical History". Churchill Archives Centre, Churchill College, Cambridge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-13. สืบค้นเมื่อ 26 February 2007.
  33. Lunde 2009, pp. 11–14
  34. Kersaudy, François (1995). "allierte planer". ใน Dahl; Hjeltnes; Nøkleby; Ringdal; Sørensen (บ.ก.). Norsk krigsleksikon 1940–45 (ภาษานอร์เวย์). Oslo: Cappelen. pp. 17–18. ISBN 82-02-14138-9.
  35. Self, Robert (2006). Neville Chamberlain: A Biography, p. 431. Ashgate; ISBN 978-0-7546-5615-9.
  36. Jenkins 2001, pp. 819–823.
  37. "The Nobel Prize in Literature 1953 – Winston Churchill". Stockholm: Nobel Media AB. สืบค้นเมื่อ 7 August 2020.
  38. "Spring 1899 (Age 24): The First Political Campaign". International Churchill Society (ICS). London: Bloomsbury Publishing plc. 5 February 2015. สืบค้นเมื่อ 15 May 2020.
  39. Jenkins 2001, pp. 506–507.
  40. Jenkins 2001, p. 279.
  41. 41.0 41.1 41.2 Knickerbocker 1941, pp. 140, 150, 178–179.
  42. Soames 1990, pp. 1–224.
  43. Wainwright, Martin (19 August 2010). "Winston Churchill's butterfly house brought back to life". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 15 May 2020.
  44. Glueckstein, Fred (20 June 2013). "Churchill's Feline Menagerie". International Churchill Society (ICS). London: Bloomsbury Publishing plc. สืบค้นเมื่อ 15 May 2020.
  45. Gilbert 1991, p. 200; Jenkins 2001, p. 140.
  46. Gilbert 1991, p. 199.
  47. Gilbert 1991, p. 207.
  48. Doward, Jamie (25 February 2018). "Revealed: secret affair with a socialite that nearly wrecked Churchill's career". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 25 February 2018.
  49. Roberts 2018, pp. 385–387.
  50. Gilbert 1991, p. 205; Jenkins 2001, p. 203.
  51. Gilbert 1991, p. 227; Jenkins 2001, p. 203.
  52. Gilbert 1991, p. 285.
  53. Gilbert 1991, p. 403.
  54. Soames 2012, p. 13.
  55. Soames 1998, p. 262.
  56. Jenkins 2001, p. 209.

บรรณานุกรม

[แก้]

Faught, C. Brad (2022). Cairo 1921: Ten Days That Made the Middle East. New Haven and London: Yale University Press. ISBN 978-0-300-25674-1

Faught, C. Brad (2023). Churchill and Africa: Empire, Decolonisation and Africa. Barnsley and Philadelphia: Pen and Sword Military. ISBN 978-1-526-76854-4

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
บรรณานุกรมและชุดสะสมออนไลน์
บันทึกเสียง
พิพิธภัณฑ์, หอจดหมายเหตุ และห้องสมุด
ก่อนหน้า วินสตัน เชอร์ชิล ถัดไป
โจเซฟ สตาลิน บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1940)
แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์
แฮร์รี เอส. ทรูแมน บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1949)
ทหารอเมริกัน