พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย
พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย Volkspartij voor Vrijheid en Democratie | |
---|---|
ชื่อย่อ | VVD |
หัวหน้า | มาร์ก รึตเตอ (นายกรัฐมนตรี) |
ผู้นำฝ่ายหญิง | คริสตียันเนอ ฟัน แดร์ วัล |
ผู้นำในวุฒิสภา | อันเนอมารี ยอร์ริตสมา |
ผู้นำในสภาผู้แทนราษฏร | กลาส ไดก์โฮฟฟ์ |
ผู้นำในรัฐสภายุโรป | มาลิก อัซมานี |
ก่อตั้ง | 28 มกราคม 1948 |
รวมตัวกับ | พรรคเสรีภาพและกรรมการ-เอาด์ |
ที่ทำการ | Mauritskade 21 เดอะเฮก |
ฝ่ายเยาวชน | องค์การเยาวชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย |
สมาชิกภาพ (ปี 2020) | 23,907 คน[1] |
อุดมการณ์ | เสรีนิยมคลาสสิก[2] เสรีนิยมทางเศรษฐกิจ[3][4][5] |
จุดยืน | กลางขวา[6][7] |
สี | น้ำเงินและส้ม |
วุฒิสภา | 12 / 75 |
สภาผู้แทนราษฎร | 32 / 150 |
ข้าหลวงในพระมหากษัตริย์ | 2 / 12 |
สภาจังหวัด | 80 / 570 |
รัฐสภายุโรป | 5 / 29 |
เว็บไซต์ | |
www | |
การเมืองเนเธอร์แลนด์ รายชื่อพรรคการเมือง การเลือกตั้ง |
พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย (ดัตช์: Volkspartij voor Vrijheid en Democratie หรือย่อเป็น VVD) เป็นพรรคการเมืองในประเทศเนเธอร์แลนด์ฝ่ายเสรีอนุรักษ์นิยม[8][9][10][11] สนับสนุนบริษัทเอกชนและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ[3][4][5]
หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันคือ มาร์ก รึตเตอ อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าพรรคตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ก่อนจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2010 และอยู่ในตำแหน่งจนถึงปัจจุบัน นับเป็นครั้งแรกที่พรรคได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียนและพรรคเพื่อเสรีภาพ แต่เมื่อพรรคเพื่อเสรีภาพไม่เห็นด้วยกับมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลในช่วงที่เกิดวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรป[12] เสถียรภาพรัฐบาลจึงสั่นคลอน นำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2012[13] และพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยได้ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งหลังได้ไปถึง 41 ที่นั่งในสภา จัดตั้งรัฐบาลรวมกับพรรคแรงงาน จนครบวาระในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2017 จึงมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2017 นี้ พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยได้ที่นั่งสูงสุด 33 ที่นั่ง แต่พรรคแรงงานเสียคะแนนนิยม จึงมีการเปลี่ยนมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ 66 สหภาพคริสเตียน และพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียนแทน ในคณะรัฐมนตรีรึตเตอ 3
ประวัติศาสตร์
[แก้]ค.ศ. 1948-1971
[แก้]พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1948 โดยเป็นการสานต่อพรรคเสรีภาพที่เกิดจากพรรครัฐเสรีที่มาจากสหภาพเสรีนิยมอีกทอดหนึ่ง ในช่วงก่อตั้ง สมาชิกพรรคแรงงาน (PvdA) จำนวนหนึ่งนำโดยปีเตอร์ เอาด์ มองว่าพรรคแรงงานเรียกร้องสังคมนิยมมากเกินไป จึงได้ลาออกจากพรรคแรงงานและเข้าร่วมกับพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ปีเตอร์ เอาด์ ได้เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก
ระหว่าง ค.ศ. 1948 ถึง 1952 พรรคได้เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคแรงงานและพรรคประชาชนคาทอลิกในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีวิลเลิม ดรีส รัฐบาลผสมชุดนี้ดำเนินการจัดตั้งรัฐสวัสดิการขึ้นและรับรองการประกาศเอกราชของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์และจัดตั้งเป็นประเทศอินโดนีเซีย หลังจากนั้นมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1952 แต่พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยที่ได้คะแนนเสียงเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล เช่นเดียวกับการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1956 กระทั่งการเลือกตั้งในอีกสามปีต่อมา พรรคได้ที่นั่ง 19 ที่นั่ง จึงได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาชนคาทอลิก พรรคต่อต้านการปฏิวัติ และสหภาพประวัติศาสตร์คริสเตียน ในรัฐบาลยัน เดอ เคา
ในปี ค.ศ. 1963 ปีเตอร์ เอาด์ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เอ็ดโซ โตกโซเปิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเข้ารับตำแหน่งแทน ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1963 แม้พรรคจะได้คะแนนเสียงลดลงแต่ก็ยังได้เข้าร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรคบางส่วนเรียกร้องให้มีการปรับทิศทางเสรีนิยมของพรรคไปสู่เสรีนิยมแบบดั้งเดิม และความไม่ลงรอยนี้นำมาสู่การลาออกจากพรรคและจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ในชื่อ ประชาธิปัตย์ 66 ในปี ค.ศ. 1966
ราวปี ค.ศ. 1965 รัฐมนตรีจากพรรคเกิดข้อขัดแย้งกับรัฐมนตรีร่วมกระทรวงจากพรรคประชาชนคาทอลิกและพรรคต่อต้านการปฏิวัติในรัฐบาลมาไรเนิน จึงมีการยุบและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ โดยมีเพียงพรรคประชาชนคาทอลิก พรรคต่อต้านการปฏิวัติ และพรรคแรงงานร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยมีโย กัลส์ เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีการเลือกตั้ง แต่คณะรัฐมนตรีนี้ก็ไร้เสถียรภาพและถูกยุบเช่นกันในปีต่อมา จากนั้น ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1967 พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยได้รับคะแนนเสียงคงเดิมและได้เข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้งในรัฐบาลปีต เดอ โยง ในช่วงนี้ พรรคได้ลดความสัมพันธ์กับองค์กรเพื่อเสรีภาพอื่น ๆ และปรับอุดมการณ์ไปสู่ความเป็นกลางมากขึ้น
ค.ศ. 1971-1994
[แก้]ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1971 พรรคร่วมรัฐบาลได้คะแนนเสียลดลง จึงได้เชิญพรรคสังคมประชาธิปไตย 70 อันเป็นสาขาของพรรคแรงงานเข้าร่วมรัฐบาล แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็มีการยุบคณะรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่โดยไม่มีพรรคสังคมประชาธิปไตย 70 มีบาเรินด์ บีสเฮอเฟิล จากพรรคต่อต้านการปฏิวัติเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงปี ค.ศ. 1971 ฮันส์ วีเคิล นักการเมืองหนุ่มไฟแรงเริ่มได้รับความสนใจจากประชาชน ได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ก่อนจะได้รับตำแหน่งประธานสภาในปีนั้น ในยุคของวีเคิลนี้ พรรคได้มีการปฏิรูปสู่ค่านิยมทางการเมืองแบบใหม่ มีการปฏิรูปรัฐสวัสดิการ ส่งเสริมนโยบายลดหย่อยภาษี จึงได้รับความนิยมจากชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แนวคิดการเมืองแบบใหม่นี้นับว่าเป็นประโยชน์กับพรรค เพราะแม้พรรคจะแพ้การเลือกตั้งขาดลอยในปี ค.ศ. 1972 และไม่ได้ร่วมรัฐบาลโยป เดน เอาล์ แต่องค์กรที่เป็นกลางที่เป็นพันธมิตรกับพรรคมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ ๆ จากนั้นในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1977 พรรคได้คะแนนไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่การเจรจาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเก่า (คริสเตียนประชาธิปไตย และประชาธิปไตยสังคมนิยม) ไม่ลงตัว พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยจึงถูกเชิญเข้าร่วมรัฐบาลร่วมกับพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียน โดยมีดรีส ฟัน อัคต์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1981 พรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียนเสียที่นั่งไปมาก มีการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยร่วมกับพรรคแรงงาน โดยไม่ได้เชิญพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยเข้าร่วมรัฐบาล การขาดเสถียรภาพนำมาสู่การยุบจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ ต่อมาในปี ค.ศ. 1982 วีเคิลลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและย้ายไปเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระราชินีประจำจังหวัดฟรีสลันด์ เอ็ด ไนเปิลส์ รับหน้าที่หัวหน้าพรรคแทน นำพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1982 ได้มา 10 ที่นั่ง จึงได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียน มีรืด ลึบเบิร์ส เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลชุดนี้ได้เริ่มปฏิรูปพลิกโฉมระบบรัฐสวัสดิการ และพรรคยังได้รับคะแนนเสียงมากพอในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งในปี ค.ศ. 1986 แต่เกิดข้อขัดแย้งในรัฐบาลชุดนี้ นำมาสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1989 ที่พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยได้รับคะแนนเสียงไม่มากพอที่จะถูกเชิญไปร่วมรัฐบาล โยริส โฟร์ฮูเฟอ หัวหน้าพรรคในขณะนั้นแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และฟริตส์ โบลเกิสไตน์ เข้ารับตำแหน่งแทน
ค.ศ. 1994 ถึงปัจจุบัน
[แก้]พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ภายใต้การนำของฟริตส์ โบลเกิสไตน์ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ. 1994 พรรคจึงได้ร่วมรัฐบาลร่วมกับพรรคแรงงานและพรรคประชาธิปัตย์ 66 โดยมีวิม โกก เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นรัฐบาลเนเธอร์แลนด์รัฐบาลแรกที่ไม่มีพรรคคริสเตียนใด ๆ ร่วมรัฐบาลเลยนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1918 แนวทางการเมืองของโบลเกิสไตน์ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมากทำให้พรรคได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1998 กลายเป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงสูงเป็นอันดับสอง จึงได้เข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง โบลเกิสไตน์ลาออกจากพรรคเพื่อไปรับตำแหน่งข้าหลวงประจำยุโรปในปี ค.ศ. 1999 และมีฮันส์ ไดก์สตัล นักการเมืองสังคมเสรีนิยมเป็นหัวหน้าพรรคแทน
การเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 2002 เนเธอร์แลนด์มีแนวคิดแบ่งเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ส่งผลให้กลุ่มปิม ฟอร์เตาน์ ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นเป็นอันดับสอง ส่วนพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยได้คะแนนลดลงอย่างมากแต่ยังได้เข้าร่วมรัฐบาลที่มีพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียนเป็นแกนนำ มียัน เปเตอร์ บัลเกอเนนเดอเป็นนายกรัฐมนตรี ไดก์สตัลประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและมีแคร์ริต ซาล์ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าพรรคแทน แต่ซาล์มกลับไปขัดแย้งกับรัฐมนตรีที่มาจากกลุ่มปิม ฟอร์เตาน์ ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอน จึงมีการเลือกตั้งอีกครั้งใน ค.ศ. 2003
การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคคาดหวังว่าจะได้คะแนนนิยมเพิ่มมากเพราะนำเอาข้อเสนอเรื่องผู้อพยพของปิม ฟอร์เตาน์มาเสนอในนโยบายหาเสียง แต่ผลการเลือกตั้งกลับไม่เป็นใจ ซาล์มนำพรรคได้ที่นั่งเพียง 4 ที่นั่งเท่านั้น และได้เข้าร่วมรัฐบาลอย่างไม่เต็มใจนัก ซาล์มได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งและยังได้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีโยซียัส ฟัน อาร์ตเซิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทนซาล์มในปี ค.ศ. 2004
ต่อมาในปี ค.ศ. 2006 พรรคเสียที่นั่งเป็นจำนวนมากในการเลือกตั้งสภาจังหวัด ฟัน อาร์ตเซิน จึงลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและให้วิลลีบรอร์ด ฟัน เบก รักษาการแทน จากนั้นพรรคได้เลือก มาร์ก รึตเตอ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน อย่างไรก็ตาม พรรคได้รับคะแนนเสียงไม่มากพอในการเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2006 และไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาล มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคได้เริ่มรณรงค์หาเสียงช้าและไม่มีประสิทธิภาพ[14] ไม่สามารถดึงความสนใจจากประชาชนจากการขับเคี่ยวระหว่างหัวหน้าพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียนและหัวหน้าพรรคแรงงานได้ เกิดความไม่ลงรอยกันในพรรค โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความเป็นผู้นำของรึตเตอ โดยเฉพาะหลังจากที่รีตา แฟร์โดงก์ ตัวแทนอันดับสองจากพรรคได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากกว่ารึตเตอที่เป็นตัวแทนอันดับหนึ่ง มีการเรียกร้องให้มีการพิจารณาหัวหน้าพรรคกันใหม่[15] เป็นเวลานานกว่าสถานการณ์ในพรรคจะดีขึ้น และแฟร์โดงก์ได้ลาออกจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่
ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2010 พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยภายใต้การนำของมาร์ก รึตเตอ ชนะการเลือกตั้ง ได้มาถึง 31 ที่นั่งในสภา กลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเป็นครั้งแรกในรอบ 92 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมา โดยร่วมกับพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียนจัดตั้งรัฐบาลรึตเตอ 1
เมื่อพรรคเพื่อเสรีภาพไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในการประกาศตัดงบประมาณเพื่อรัดเข็มขัด ได้ลาออกจากฝ่ายรัฐบาล มาร์ก รึตเตอจึงประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 2012[16] และครั้งนี้ได้รับคะแนนท่วมท้นอีกครั้ง ได้มาถึง 41 ที่นั่ง (เพิ่มขึ้นมา 10 ที่นั่ง) จัดตั้งรัฐบาลรึตเตอ 2 ร่วมกับพรรคแรงงานและบริหารงานจนครบวาระ อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 2017 พรรคเสียที่นั่งไป 8 ที่นั่ง แต่ยังเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเรียกร้องประชาธิปไตยคริสเตียน พรรคประชาธิปัตย์ 66 และสหภาพคริสเตียนในรัฐบาลรึตเตอ 3
อุดมการณ์
[แก้]พรรคสนับสนุนหลักการรัฐบาลเล็ก (Small government) คือให้รัฐบาลมีส่วนร่วมกับนโยบายสาธารณะและเอกชนให้น้อยที่สุด และใช้นโยบายปล่อยให้ทำไป (Laissez-faire) ที่ปล่อยให้อุตสาหกรรมดำเนินการไปโดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล นอกจากนี้ยังส่งเสริมการลดภาษี ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด และบริหารงบประมาณแบบสมดุล
พรรคผลักดันการลดการออกกฎระเบียบจากภาครัฐ (Deregulation) แยกคริสตจักรกับรัฐออกจากกัน ไม่สนับสนุนการถือหลายสัญชาติของพลเมือง ส่งเสริมการปลดปล่อยทาส การแต่งงานเพศเดียวกัน การปรับตัวจากวัฒนธรรมที่หลากหลายให้กลมกลืน และให้การดูแลผู้ลี้ภัยอย่างเหมาะสม
พรรคสนับสนุนการรวมตัวกันเป็นสหภาพยุโรป ส่งเสริมความร่วมมือระดับนานาชาติ สร้างภาคีระหว่างประเทศ ส่งเสริมนโยบายให้ศาลลงโทษโดยห้ามใช้ดุลพินิจในการลดโทษหรือรอการลงโทษ ต่อต้านการเข้าครอบครองพื้นที่รกร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต และสนับสนุนการปฏิบัติต่อยาเสพติดแบบอ่อนและแบบรุนแรงที่แตกต่างกัน
พรรคพยายามผลักดันระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่งเสริมงานวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ผลักดันนโยบายการทำแท้ง และการุณยฆาต
พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยก่อตั้งขึ้นด้วยอุดมการณ์เสรีนิยม และโดยทั่วไปเป็นผู้สนับสนุนตลาดเสรี ส่งเสริมเสรีภาพทางเศรษฐกิจ เสรีนิยมแบบดั้งเดิม เสรีภาพในทางวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นด้วยกับนโยบายรัฐสวัสดิการ
แถลงการณ์เสรีภาพ
[แก้]พรรคได้ออกแถลงการณ์เสรีภาพ[18]เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 โดยแบ่งเป็น 4 หมวดด้วยกัน ได้แก่
ประชาธิปไตย
[แก้]- พรรคสนับสนุนให้เปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งมาเป็นการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง
- พรรคไม่สนับสนุนการทำประชามติ
- นายกเทศมนตรีควรมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
- ส่งเสริมเสรีภาพของตลาดเดียวยุโรป
ความมั่นคง
[แก้]- สหภาพยุโรปควรมีนโยบายการป้องกันประเทศและความมั่นคงร่วมกัน
เสรีภาพ
[แก้]- หลักการการลดการกีดกันควรมีความสำคัญหลักการทางศาสนา
- สิทธิทางสังคมที่พึงมีควรได้รับการรักษา
- การุณยฆาตเป็นสิทธิที่บุคคลพึงมี
- ส่งเสริมเศรษฐกิจแบบเปิด โดยให้เป็นตลาดเสรีที่มีการควบคุม ส่งเสริมการจดสิทธิบัตร
- สนับสนุนเสรีภาพของสัญญาจ้างงาน
พลเมือง
[แก้]- ลดการถือสองสัญญาติ
- ชาวดัตช์ควรเปิดกว้างกับผู้อพยพ และผู้อพยพควรปรับตัวให้เข้ากับสังคมดัตช์หากต้องการเป็นพลเมือง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Forum voor Democratie qua ledental de grootste partij van Nederland" (PDF). Documentatiecentrum Nederlandse Politieke Partijen (ภาษาดัตช์). สืบค้นเมื่อ 27 January 2020.
- ↑ Rudy Andeweg|Andeweg, R. and G. Irwin Politics and Governance in the Netherlands, Basingstoke (Palgrave) p.49
- ↑ 3.0 3.1 T. Banchoff (1999). Legitimacy and the European Union. Taylor & Francis. p. 123. ISBN 978-0-415-18188-4. สืบค้นเมื่อ 26 August 2012.
- ↑ 4.0 4.1 Andeweg R.B. and G.A. Irwin Government & Politics in the Netherlands 2002 Palgrave p. 48
- ↑ 5.0 5.1 "Website Info for vvd.nl". Who.is. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-15. สืบค้นเมื่อ 17 March 2017.
- ↑ Hans Keman (2008), "The Low Countries: Confrontation and Coalition in Segmented Societies", Comparative European Politics, Taylor & Francis, p. 221
- ↑ Sean Lusk; Nick Birks (2014). Rethinking Public Strategy. Palgrave Macmillan. p. 168. ISBN 978-1-137-37758-6.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Rudy W Andeweg; Lieven De Winter; Patrick Dumont (2011). Government Formation. Taylor & Francis. p. 147. ISBN 978-1-134-23972-6. สืบค้นเมื่อ 17 August 2012.
- ↑ Jochen Clasen; Daniel Clegg (2011). Regulating the Risk of Unemployment: National Adaptations to Post-Industrial Labour Markets in Europe. Oxford University Press. p. 76. ISBN 978-0-19-959229-6. สืบค้นเมื่อ 17 August 2012.
- ↑ David Broughton (1999). Changing Party Systems in Western Europe. Continuum International Publishing Group. p. 178. ISBN 978-1-85567-328-1. สืบค้นเมื่อ 20 August 2012.
- ↑ Thomas Poguntke; Paul Webb (2007). The Presidentialization of Politics: A Comparative Study of Modern Democracies. Oxford University Press. p. 158. ISBN 978-0-19-921849-3. สืบค้นเมื่อ 24 August 2012.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Bruno Waterfield (23 April 2012). "Dutch prime minister Mark Rutte resigns over austerity measures". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 3 March 2015.
- ↑ "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 สิงหาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2012.
{{cite web}}
: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์) - ↑ "Rutte: "Het karwei begint nu pas"". NOS Nieuws. 4 พฤศจิกายน 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 พฤษภาคม 2007.
- ↑ "Verdonk haalt bakzeil over leiderschap VVD" (ภาษาดัตช์). Elsevier. 29 พฤศจิกายน 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กันยายน 2007.
- ↑ "Dutch government unravels over Brussels budget rules". EUobserver. 22 April 2012. สืบค้นเมื่อ 23 April 2012.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 "VVD Standpunten". VVD.
- ↑ "VVD's official page: Liberal Manifesto". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-02. สืบค้นเมื่อ 2020-04-15.