เอ็ม 4 คาร์บิน
เอ็ม4 คาร์บิน 5.56 ม.ม. M4 carbine | |
---|---|
ชนิด | ปืนเล็กยาว |
แหล่งกำเนิด | สหรัฐ |
บทบาท | |
ประจำการ | พ.ศ. 2540 – ปัจจุบัน |
สงคราม | สงครามอัฟกานิสถาน สงครามอิรัก สงครามกลางเมืองโคลัมเบีย |
ประวัติการผลิต | |
บริษัทผู้ผลิต | โคลต์ดีเฟนซ์ |
แบบอื่น | เอ็ม4เอ1 ซีคิวบีอาร์ |
ข้อมูลจำเพาะ | |
มวล | 2.7 กิโลกรัม (น้ำหนักเปล่า) 3.1 กิโลกรัม (กระสุน 30 นัด) |
ความยาว | 33 นิ้ว (ยืดพานท้าย) 29.8 นิ้ว (พับพานท้าย) |
ความยาวลำกล้อง | 14.5 นิ้ว |
กระสุน | 5.56×45 มม. นาโต |
การทำงาน | ระบบแก๊ส ลูกเลื่อนหมุนตัวขัดกลอน ปลดล็อกด้วยแรงดันก๊าซเป่าห้องลูกเลื่อนโดยตรง |
อัตราการยิง | 700–950 นัดต่อนาที |
ความเร็วปากกระบอก | 910 เมตรต่อวินาที |
ระยะหวังผล | 550 เมตร |
ระบบป้อนกระสุน | กระสุนในแม็กกาซีน 30 นัด |
เอ็ม 4 คาร์บิน (อังกฤษ: M4 carbine) เป็นอาวุธปืนเล็กยาวอัตโนมัติที่พัฒนามาจากปืนเล็กยาวจู่โจมเอ็ม 16 ซึ่งเป็นปืนในตระกูล เออาร์-15ที่ออกแบบโดยยูจีน สโตนเนอร์ให้แก่บริษัทอาร์มาไลท์ มีความยาวและน้ำหนักน้อยกว่าเอ็ม16 มีชิ้นส่วนกว่าร้อยละ 80 ที่ใช้งานร่วมกับปืนเอ็ม 16 เอ 2 ได้ เอ็ม4สามารถเลือกระบบการยิงได้แก่ กึ่งอัตโนมัติและการยิงทีละ 3 นัด (เหมือนเอ็ม16เอ2) ขณะที่เอ็ม4เอ1มี"ระบบอัตโนมัติ"แทนที่ระบบยิงทีละ 3 นัด
คำอธิบาย
[แก้]เอ็ม4 เป็นปืนเล็กยาวอัตโนมัติที่พัฒนาจากปืนเล็กยาวอัตโนมัติ เอ็ม16 5.56x45 ม.ม. หน่วงลำเลื่อนด้วยแก๊ส ระบายความร้อนด้วยอากาศ ป้อนกระสุนทางแมกกาซีน สามารถปรับความยาวพานท้ายได้ โดยในช่วงแรกๆ จะผลิตเป็นพานท้ายปรับ 4 ระดับ ต่อมาจึงได้ผลิตพานท้ายปรับ 6 ระดับที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยต่อมาถึงปัจจุบัน
เอ็ม4นั้นเหมาะมือและสะดวกในการพกพามากกว่าปืนเล็กยาวแบบอื่น เป็นที่นิยมใช้ในหน่วยรบพิเศษต่างๆ เช่น หน่วยจู่โจมทำลายใต้น้ำ (SEALs) นาวิกโยธิน หน่วยอากาศโยธิน มันยังถูกใช้โดยกรมทหารอากาศของออสเตรเลียอีกด้วย มาเลเซียได้สั่งซื้อเอ็ม4 คาร์บินเพื่อมาแทนที่สไตเออร์ เอยูจีในกองทัพเมื่อปี 2006 และถูกผลิตในมาเลเซียภายใต้ลิขสิทธิ์จากโคลท์ผ่านทางบริษัท SME ของมาเลเซีย อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ที่ปืนเอ็ม4 จะได้รับความสนใจจากตำรวจ, ยามชายฝั่งและผู้รักษากฎหมายอีกด้วย
เอ็ม4 ถูกพัฒนาและผลิตให้กับรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยบริษัทโคลท์ ซึ่งได้รับคำสั่งการผลิตปืนเอ็ม4 จนถึงปี 2009 อย่างไรก็ตาม จะยังมีการผลิตอาวุธปืนที่พัฒนามาจาก เอ็ม4 และ เอ็ม16 ต่อไป เอ็ม4เอ1และเอ็ม16เอ4 ได้เข้ามาแทนที่ เอ็ม16เอ2 กองทัพอากาศสหรัฐฯ วางแผนที่จะทำการเปลี่ยนไปใช้เอ็ม4 คาร์บินอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเอ็ม4นั้นมีความคล้ายคลึงกับเอ็ม16 มาก ทำให้ง่ายต่อการฝึกเปลี่ยนแบบ
รุ่นต่างๆ
[แก้]กองทัพสหรัฐฯ ใช้เอ็ม4และเอ็ม4เอ1เป็นอาวุธประจำกายทหารร่วมกับปืนเอ็ม16 โดยทั่วไปแล้วเอ็ม4 จะมีด้ามจับพร้อมศูนย์เล็งเปิดในตัวติดบนรางพิคาทินนี่ มาพร้อมกับปืน (ซึ่งสามารถถอดด้ามจับดังกล่าวออกได้) ซึ่งในหน่วยรบพิเศษปืนเอ็ม4 นิยมเปลี่ยนด้ามจับเป็นอุปกรณ์ช่วยเล็งติดบนรางพิคาทินนี่ โดยส่วนมาแล้วจะเป็นเอ็ม68 ซีซีโอ ซึ่งเป็นกล้องเล็งในการต่อสู้ระยะใกล้ และมักจะติดด้ามจับ ต้นแบบคือแบบโคลท์920 (เอ็ม4) และ921 (เอ็ม4เอ1)
เอ็ม4 นั้นนอกจากสายการผลิตโคลท์ในสหรัฐฯนั้น ยังมีการผลิตนอกสหรัฐฯโดยการซื้อสิทธิบัตรการผลิตจากโคลท์อีกด้วย เช่นในแคนาดา บริษัท ไดมาโก้ (ต่อมาเปลี่ยนเป็น โคลท์ แคนาดา) ผลิตเอ็ม4 ออกมาใช้ชื่อว่า ไดมาโก้ ซี8 หรือโคลท์ แคนาดา เป็นต้น
เอ็ม4/เอ็ม4เอ1
[แก้]ในเอ็ม4 นั้นมีระบบเลือกการยิงเป็น "Safe-Semi-Burst" (เซฟ/กึ่งอัตโนมัติ/ยิงทีละ 3 นัด) ขณะที่เอ็ม4เอ1 มีระบบเลือกการยิงเป็น "Safe-Semi-Auto" (เซฟ/กึ่งอัตโนมัติ/อัตโนมัติ)
เอ็ม4 เอ็มดับเบิ้ลยูเอส (Modular Weapon System)
[แก้]โคลท์โมเดล 925คาร์บินถูกทดสอบด้วยบริษัทไนท์ อารมาเม้นท์ (Knight's Armament Corporation) เอ็ม4 อาร์เอเอสอยู่ใต้การออกแบบโดยมีชื่อว่าเอ็ม4อี2 แต่การออกแบบนี้พบว่ามีข้อตำหนิในเรื่องระบบอุปกรณ์ การเพิ่มส่วนของระบบอาร์เอเอส (Rail Accessory System) เข้าไปทำให้มันกลายเป็นเอ็ม4 เอ็มดับเบิ้ลยูเอส
เอ็ม4เอ1
[แก้]เอ็ม4เอ1คาร์บินเป็นรุ่นแบบอัตโมติที่มีต้นแบบมาจากเอ็ม4 คาร์บินซึ่งผลิตออกมาให้ใช้ในปฏิบัติการพิเศษ เอ็ม4เอ1ถูกใช้โดยหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่ เอ็ม4เอ1 คาร์บินเป็นที่นิยมในหน่วยต่อต้านผู้ก่อการร้ายและหน่วยปฏิบัติการพิเศษ สำหรับการรบระยะประชิด เนื่องมาจากความสามารถในการยิงระบบอัตโนมัติ (ยิงรัว) ได้ เอ็ม4จะมีระยะหวังผลน้อยกว่าเอ็ม16 แต่ทางหลายกองทัพคิดว่าการทำการยิงในระยะที่มากกว่า 300 เมตรนั้น ไม่ค่อยเกิดขึ้นมากนัก มันมีประสิทธิภาพมากในระยะ 150 เมตรหรือน้อยกว่า และมีระยะยิงไกลสุดที่ 500-600 เมตร
โซปมอด บล็อก 1
[แก้]กองบัญชาการปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐฯ ได้สร้างอุปกรณ์ในการการดัดแปลงเฉพาะปฏิบัติการพิเศษ (โซปมอด) บล็อก 1 ขึ้นมาโดยมันถูกใช้โดยหน่วยงานรักษากฎหมายและทหาร อุปกรณ์เหล่านี้มีเอ็ม4เอ1 คาร์บิน ด้ามจับหรืออาร์ไอเอส (Rail Interface System (RIS) ) ที่สร้างโดยบริษัทไนท์ เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม203และเป้าเล็ง ที่เก็บเสียง ระบบเลเซอร์/อินฟราเรด และกล้องมองกลางคืน อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำภารกิจที่หลากหลาย และมักถูกใช้โดยหน่วยรบพิเศษ
โซปมอด บล็อก 2
[แก้]เป็นอุปกรณ์รุ่นที่สองของโซปมอดซึ่งในปัจจุบันกำลังอยู่ในการพัฒนา พร้อมกับบริษัทผู้ผลิตจำนวนมากที่แข่งขันกันเพื่อได้ข้อตกลงในสัญญา บริษัทที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่ บริษัทผลิตอาวุธไนท์ ระบบวิจัยการตลาดแอทแลนติก และลีวิส บริษัทแดเนียลดีเฟนซ์ได้ชนะสัญญาในการสร้างด้ามจับแบบใหม่ขึ้นมา
อาวุธที่จะมาแทนที่ในอนาคต
[แก้]กองทัพสหรัฐฯ ได้ศึกษาและจัดหาการหาปืนเล็กยาวที่จะมาแทนที่เอ็ม4 คาร์บิน บริษัททั้งสิบเก้าบริษัทได้นำเสนอแบบมากมายให้กับทางการของกองทัพ อาวุธดังกล่าวรวมทั้งเบเร็ตต้า อาร์อีซี7 เอฟเอ็น สการ์ เฮคเลอร์แอนด์คอก เอชเค416 และอื่นๆ เช่นเดียวกันกับเอ็ม4 รุ่นที่โคล์ทผลิต[1]
การออกแบบ
[แก้]เอ็ม4/เอ็ม4เอ1 ขนาด 5.56 ม.ม.ทำงานด้วยระบบแก๊ส ระบายความร้อนด้วยอากาศ ใช้แมกกาซีน มีหลายการยิง เป็นมีพานท้ายปรับระดับได้ เป็นปืนเล็กยาวที่พัฒนามาจากเอ็ม16เอ2 ให้มีลำกล้องยาว 14.5 นิ้ว เอ็ม4 ทำให้ทหารสามารถทำการต่อสู้ได้ในพื้นที่คับแคบด้วยความแม่นยำและอำนาจการทำลายล้างสูง เอ็ม4 ดั้งเดิมนั้นมีระบบการยิงแบบกึ่งอัตโนมัติและยิงทีละสามนัด ในขณะที่เอ็ม4เอ1 มีระบบยิงแบบกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติเท่านั้น เอ็ม4 มีความคล้ายคลึงกับเอ็ม16เอ2 80% และได้เข้ามาแทนที่ปืนกลมือเอ็ม 3 และปืนพกเอ็ม9 และปืนเล็กยาวเอ็ม16 ในหน่วยส่วนใหญ่ของกองทัพ เอ็ม4 ยังสามารถติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม203 ซึ่งเป็นเอ็ม203เอ1 ขนาดลำกล้อง 9 นิ้วแทนที่จะเป็น 12 นิ้วที่ใช้กับเอ็ม 16
จุดเด่นของเอ็ม4 และเอ็ม4เอ1 เมื่อเทียบกับเอ็ม16 มีดังนี้
- ขนาดที่กระทัดรัดกว่า
- ลำกล้องขนาด 14.5 นิ้วที่สั้นกว่า
- พานท้ายปรับระดับได้
อย่างไรก็ตาม เอ็ม4 ก็มีข้อบกพร่อง ได้แก่ ความเร็วของกระสุนและความแม่นยำที่ต่ำกว่าเอ็ม 16 และเสียงที่ดังขึ้นเนื่องมาจากลำกล้องที่สั้นของมัน รวมทั้งยังเกิดความร้อนที่ประกับมือที่เร็วขึ้นกว่า เอ็ม 16 เนื่องจากพื้นที่ระบายอากาศลดลง รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับเอ็ม16 เช่น ฝุ่นละออง น้ำ ดิน ทรายสามารถเข้าไปติดในท่อนำแก๊สและลำกล้องได้ง่าย ทำให้ปืนเกิดการขัดลำกล้องบ่อยครั้ง และ M4A1 สู้ HK416 ไม่ได้
อุปกรณ์เสริม
[แก้]เอ็ม16 เอ็ม4 คาร์บินและเอ็ม4เอ1 คาร์บินสามารถใช้อุปกรณ์ได้มากมาย เช่น กล้องมองกลางคืน เลเซอร์ชี้เป้า กล้องเล็งระยไกล เอ็ม203 หรือเอ็ม320 ปืนลูกซอง เอ็ม26 เป็นต้น อุปกรณ์อื่นนั้นยังรวมทั้งเอเอ็น/พีอีคิว-2 ที่เล็งแบบพิเศษ และเป้าเล็งแบบเอ็ม68 ที่อยู่ในชุดอัพเกรดของโซปมอด 2
ประเทศผู้ใช้งาน
[แก้]นอกจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้ผลิตแล้วยังมีประเทศผู้ใช้เอ็ม4 คาร์บินและแบบต่าง ๆ ได้แก่
|
|
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-16. สืบค้นเมื่อ 2009-02-26.
- ↑ "M4 Carbine". Asia Pacific Defence Solutions Group. สืบค้นเมื่อ 2009-01-20.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 3.0 3.1 3.2 "The 5.56 X 45mm: 2008". The Gun Zone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-10. สืบค้นเมื่อ 2009-01-27. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Guns" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ "Georgian army replaces Kalashnikov with U.S. rifle". Reuters. 2008-01-18. สืบค้นเมื่อ 2009-01-19.
- ↑ Christopher J. Castelli (September 2008). "Department of Defense to equip Lebanon's Special Forces with Small Arms, Vehicles" (PDF). DISAM Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-03-27. สืบค้นเมื่อ 2009-02-08.