สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง

สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งเริ่มในอินโดจีนฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1946 และกินเวลาจนวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1954 การสู้รบระหว่างกำลังฝรั่งเศสและคู่ต่อสู้เวียดมินห์ในทางใต้เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1945 ความขัดแย้งนี้มีกำลังต่าง ๆ ซึ่งรวมกองทัพรบนอกประเทศภาคพื้นตะวันออกไกลฝรั่งเศสของสหภาพฝรั่งเศส ซึ่งมีฝรั่งเศสเป็นผู้นำ และมีกองทัพแห่งชาติเวียดนามของสมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยสนับสนุนต่อเวียดมินห์ซึ่งมีโฮจิมินห์เป็นผู้นำและกองทัพประชาชนเวียดนามซึ่งมีหวอ เงวียน ซ้าปเป็นผู้นำ การสู้รบส่วนใหญ่เกิดในตังเกี๋ยในเวียดนามเหนือ แม้ความขัดแย้งกลืนทั่วประเทศและยังลามไปรัฐในอารักขาอินโดจีนฝรั่งเศสเพื่อนบ้านลาวและกัมพูชา

สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง
ส่วนหนึ่งของ สงครามอินโดจีน และ สงครามเย็น

พิธีที่ทหารกองทัพญี่ปุ่นยอมจำนนต่อทหารกองทัพสหราชอาณาจักรในเมืองไซ่ง่อน ในปี 1945
วันที่19 ธันวาคม ค.ศ. 1946 (1946-12-19)1 สิงหาคม ค.ศ. 1954 (1954-08-01)
(7 ปี 7 เดือน 1 สัปดาห์ 6 วัน)
สถานที่
ผล

กองกำลังเวียดมินห์ได้รับชัยชนะ[9][10][11][12]

  • การแบ่งแยกประเทศเวียดนามออกเป็นสองส่วน(ตอนเหนือปกครองโดยเวียดมินห์ และตอนใต้ปกครองโดยรัฐเวียดนามอยู่ต่อไป)
  • ฝรั่งเศสสละอำนาจการปกครองอาณานิคมอินโดจีน และให้เอกราชแก่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพราะผลของการบังคับใช้จากการประชุมเจนีวา (ค.ศ. 1954)
ดินแดน
เปลี่ยนแปลง
ประเทศเวียดนามแยกเป็นสองประเทศคือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ โดยให้ถือเอาพื้นที่ 17 องศาเหนือ เป็นเส้นแบ่งเขตแดน
คู่สงคราม

เวียดนามเหนือ เวียดมินห์
ลาว ลาวอิสระ (1945–1949)

กัมพูชา เขมรอิสระ[2]

ญี่ปุ่น อาสาสมัครจากประเทศญี่ปุ่น


Supported by:[4]
 สหภาพโซเวียต[5]
 จีน (1949–1954) [5]
 เยอรมนีตะวันออก[6][7]

ฝรั่งเศส สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สี่ (1945–1954)

กัมพูชา ราชอาณาจักร​กัมพูชา
(1953–1954)
ลาว ราชอาณาจักรลาว
(1953–1954)
เวียดนามใต้ รัฐเวียดนาม (1949–1954)


Supported by:
 สหรัฐ[8] (1950–1954)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
เวียดนามเหนือ โฮจิมินห์
เวียดนามเหนือ หวอ เงวียน ซ้าป
ลาว เจ้าสุภานุวงศ์
กัมพูชา ตู สามุต

คณะสำรวจดินแดนตะวันออกไกลของฝรั่งเศส

รัฐเวียดนาม

กำลัง
เวียดมินห์:
ทหาร: 125,000
พลเรือน: 75,000
กองกำลังนิยม/ประจำการ: 250,000[13]
อดีตทหารกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นและอาสาสมัคร: ~5,000[14]
รวม: ~450,000
ฝรั่งเศส:
คณะสำรวจ: 190,000
ฝ่ายความช่วยเหลือในพื้นที่: 55,000
รัฐเวียดนาม:
150,000[15]
อดีตทหารกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นและอาสาสมัคร: ~1,000[16]
รวม: ~450,000
ความสูญเสีย
เวียดมินห์:
หายสาบสูญและเสียชีวิตถึง 175,000–300,000 ราย[17][18]
สหภาพฝรั่งเศส:
เสียชีวิต 75,581 ราย
บาดเจ็บ 64,127 ราย,
ถูกจับกุม 40,000 ราย
รัฐเวียดนาม:
หายสาบสูญและเสียชีวิตถึง 58,877 ราย[19]
รวม:
หายสาบสูญและเสียชีวิตถึง 134,500 ราย
พลเรือนหายสาบสูญและเสียชีวิตถึง 125,000–400,000 ราย[17][20][21][22]

การประชุมพ็อทซ์ดัมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 เสนาธิการร่วม (Combined Chiefs of Staff) ตัดสินใจว่าอินโดจีนใต้ละติจูด 16 องศาเหนือ จะรวมอยู่ในกองบัญชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้พลเรือเอกเมานต์แบ็ทแตนชาวบริติช กำลังญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ทางใต้เส้นนั้นยอมจำนนต่อเขาและกำลังญี่ปุ่นเหนือเส้นนั้นยอมจำนนต่อจอมทัพเจียง ไคเช็ก ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1945 กำลังจีนเข้าตังเกี๋ยและกำลังรบเฉพาะกิจบริติชขนาดเล็กขึ้นบกที่ไซ่ง่อน จีนยอมรับรัฐบาลเวียดนามภายใต้โฮจิมินห์ ซึ่งกำลังต่อต้านเวียดมินห์ตั้ง ซึ่งขณะนั้นครองอำนาจอยู่ในกรุงฮานอย ฝ่ายบริเตนไม่ยอมตามในไซ่ง่อน และยอมให้ฝรั่งเศสที่นั่นตั้งแต่ต้น ซึ่งต่อต้านการสนับสนุนเวียดมินห์ที่ดูเช่นนั้นโดยผู้แทนโอเอสเอสของอเมริกา ในวันวี-เจ 2 กันยายน โฮจิมินห์ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามในกรุงฮานอย สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามปกครองเป็นรัฐบาลพลเรือนเดียวในเวียดนามทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ 20 วัน หลังจักรพรรดิบ๋าว ดั๋ยสละราชสมบัติ ซึ่งปกครองในการปกครองของญี่ปุ่น ฉะนั้นเวียดมินห์จึงถือเป็น "หุ่นเชิดญี่ปุ่น" วันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1945 ด้วยทราบถึงผู้บัญชาการบริติชในไซ่ง่อน กำลังฝรั่งเศสโค่นรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนเวียดนามท้องถิ่น และประกาศฟื้นฟูอำนาจของฝรั่งเศสในโคชินจีน การสงครามกองโจรพลันเริ่มรอบไซ่ง่อน[23]

ปีแรก ๆ ของสงครามเป็นการก่อการกำเริบในชนบทระดับต่ำต่อทางการฝรั่งเศส ทว่า หลังคอมมิวนิสต์จีนถึงชายแดนเวียดนามด้านเหนือใน ค.ศ. 1949 ความขัดแย้งเปลี่ยนเป็นสงครามตามแบบระหว่างสองกองทัพที่มีอาวุธสมัยใหม่ที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตจัดหา[24] กำลังสหภาพฝรั่งเศสมีทหารอาณานิคมจากทั้งอดีตจักรวรรดิ (โมร็อกโก แอลจีเรีย ตูนิเซีย ลาว กัมพูชาและชนกลุ่มน้อยเวียดนาม) กำลังอาชีพฝรั่งเศสและหน่วยกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส การใช้กำลังฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่เกณฑ์ถูกรัฐบาลห้ามเพื่อป้องกันมิให้สงครามยิ่งไม่ได้รับความนิยมมากขึ้นอีกในประเทศแม่ ปัญญาชนฝ่ายซ้ายในประเทศฝรั่งเศสเรียกสงครามนี้ว่า "สงครามสกปรก"[25]

ยุทธศาสตร์ผลักดันเวียดมินห์ให้โจมตีฐานที่มีการป้องกันดีในส่วนห่างไกลของประเทศ ณ ปลายเส้นทางลอจิสติกของเวียดมินห์สมเหตุสมผลที่ยุทธการที่หน่าสาน ทว่า ฐานนี้ค่อนข้างอ่อนแอเพราะขาดวัสดุก่อสร้างอย่างคอนกรีตและเหล็กกล้า รถถังหุ้มเกาะซึ่งมีประโยชน์จำกัดในสิ่งแวดล้อมป่า การขาดกองทัพอากาศที่เข้มแข็งสำหรับการคุ้มกันทางอากาศและการทิ้งระเบิดปูพรมและการใช้กำลังต่างด้าวเกณฑ์จากอาณานิคมฝรั่งเศสอื่นที่เกิดจากความไม่เป็นที่นิยมของสงครามนี้ในประเทศฝรั่งศสซึ่งห้ามการใช้ทหารเกณฑ์ชาวฝรั่งเศสประจำการ อีกด้านหนึ่ง ซ้าปใช้ยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพและใหม่ปืนใหญ่ยิงตรง (direct fire artillery) การซุ่มโจมตีขบวนคุ้มกันและปืนต่อสู้อากาศยานที่รวบรวมเพื่อขัดขวางการส่งกำลังบำรุงทางบกหรืออากาศร่วมกับยุทธศาสตร์ที่ยึดการเกณฑ์กองทัพประจำการขนาดพอสมควรที่อำนวยจากการสนับสนุนของประชาชนอย่างกว้างขวาง ลัทธิการสงครามกองโจรและการสอนที่พัฒนาในประเทศจีนและการใช้วัสดุสงครามเรียบง่ายและเชื่อถือได้ที่สหภาพโซเวียตจัดหา ทั้งหมดนี้รวมกันพิสูจน์แล้วว่าเป็นหายนะสำหรับการป้องกันฐานนี้ ลงเอยด้วยความปราชัยของฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาดในยุทธการที่เดียนเบียนฟู[26]

การประชุมเจนีวาระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1954 รัฐบาลฝรั่งเศสสังคมนิยมใหม่และเวียดมินห์ทำความตกลงซึ่งถูกรัฐบาลเวียดนามและสหรัฐประณาม แต่ให้คอมมิวนิสต์ควบคุมเวียดนามเหนือเหนือเส้นขนานที่ 17 ยกการควบคุมเวียดนามเหนือให้เวียดมินห์ภายใต้โฮจิมินห์ และเวียดนามใต้ยังอยู่ภายใต้จักรพรรดิบ๋าว ดั๋ย ปีต่อมา บ๋าว ดั่ยถูกนายกรัฐมนตรีโง ดิ่ญ เสี่ยมปลด สถาปนาสาธารณรัฐเวียดนาม ไม่นาน เกิดการก่อการกำเริบที่เวียดนามเหนือสนับสนุนต่อรัฐบาลเดี่ยม ความขัดแย้งค่อย ๆ บานปลายเป็นสงครามเวียดนาม

อ้างอิง

แก้
  1. Jacques Dalloz, La Guerre d'Indochine 1945–1954, Seuil, Paris, 1987, pp. 129–130, 206
  2. Jacques Dalloz (1987). La Guerre d'Indochine 1945–1954. Paris: Seuil. pp. 129–130.
  3. Kiernan, Ben. How Pol Pot Came to Power. London: Verso, 1985. p. 80
  4. henrisalvador. "John Foster Dulles on the fall of Dien Bien Phu". Dailymotion. สืบค้นเมื่อ August 19, 2015.
  5. 5.0 5.1 "Viện trợ của Trung Quốc đối với cuộc kháng chiến chống Pháp của Việt Nam". สืบค้นเมื่อ August 19, 2015.
  6. http://geb.uni-giessen.de/geb/volltexte/2013/9311/pdf/DaoDucThuan_2013_02_05.pdf
  7. "East Germany – The National People's Army and the Third World".
  8. "CNN.com – France honors CIA pilots – Feb 28, 2005". สืบค้นเมื่อ August 19, 2015.
  9. Lee Lanning, Michael (2008). Inside the VC and the NVA. : Texas A&M University Press. p. 119. ISBN 978-1-60344-059-2.
  10. Crozier, Brian (2005). Political Victory: The Elusive Prize Of Military Wars. Transaction. p. 47. ISBN 978-0-7658-0290-3.
  11. Fall, Street Without Joy, p. 63.
  12. Logevall, Fredrik (2012). Embers of War: the fall of an empire and the making of America's Vietnam. Random House. pp. 596–9. ISBN 978-0-375-75647-4.
  13. Windrow 1998, p. 23
  14. Ford, Dan. "Japanese soldiers with the Viet Minh".
  15. Windrow, Martin (1998). The French Indochina War 1946–1954 (Men-At-Arms, 322). London: Osprey Publishing. p. 11. ISBN 1-85532-789-9.
  16. Ford, Dan. "Japanese soldiers with the Viet Minh".
  17. 17.0 17.1 Clodfelter, Michael, Vietnam in Military Statistics (1995)
  18. Where the Domino Fell: America and Vietnam 1945–1995. James S. Olson, Randy W. Roberts. Chapter 2: The first Indochina war 1945–54
  19. Dommen, Arthur J. (2001), The Indochinese Experience of the French and the Americans, Indiana University Press, pg. 252
  20. Smedberg, M (2008), Vietnamkrigen: 1880–1980. Historiska Media, p. 88
  21. Eckhardt, William, in World Military and Social Expenditures 1987–88 (12th ed., 1987) by Ruth Leger Sivard.
  22. Dommen, Arthur J. (2001), The Indochinese Experience of the French and the Americans, Indiana University Press, pg. 252.
  23. s:Page:Pentagon-Papers-Part I.djvu/30
  24. Fall, Street Without Joy, p. 17.
  25. Edward Rice-Maximin, Accommodation and Resistance: The French Left, Indochina, and the Cold War, 1944–1954 (Greenwood, 1986).
  26. Flitton, Dave. "Battlefield Vietnam – Dien Bien Phu, the legacy". Public Broadcasting System PBS. สืบค้นเมื่อ 29 July 2015.