อมัลเทีย (ดาวบริวาร)
ลักษณะของวงโคจร | ||||
---|---|---|---|---|
ระยะจุดใกล้ศูนย์กลางวงโคจรที่สุด: | 181150 ก.ม.[a] | |||
ระยะจุดไกลศูนย์กลางวงโคจรที่สุด: | 182840 ก.ม.[a] | |||
รัศมีวงโคจรเฉลี่ย: | 181365.84±0.02 ก.ม. (2.54 RJ) [1] | |||
ความเยื้องศูนย์กลาง: | 0.00319±0.00004[1] | |||
คาบดาราคติ: | 0.49817943±0.00000007 d (11 ช.ม., 57 นาที, 23 วินาที)[1] | |||
อัตราเร็วเฉลี่ย ในวงโคจร: | 26.57 ก.ม./วินาที[a] | |||
ความเอียง: | 0.374°±0.002° (ถึงศูนย์สูตรดาวพฤหัส) [1] | |||
ดาวบริวารของ: | ดาวพฤหัส | |||
ลักษณะทางกายภาพ | ||||
มิติ: | 250 × 146 × 128 ก.ม.[2] | |||
รัศมีเฉลี่ย: | = 83.5±2.0 ก.ม.[2] | |||
ปริมาตร: | (2.43±0.22)×106 ก.ม.3[3] | |||
มวล: | (2.08±0.15)×1018 กิโลกรัม[3] | |||
ความหนาแน่นเฉลี่ย: | 0.857±0.099 กรัม/ซ.ม.3[3] | |||
ความโน้มถ่วง ที่ศูนย์สูตร: | ≈ 0.020 เมตร/วินาที² (≈ 0.002 กรัม) [a] | |||
คาบการหมุน รอบตัวเอง: | การหมุนสมวาร[2] | |||
ความเอียงของแกน: | 0[2] | |||
อัตราส่วนสะท้อน: | 0.090±0.005[4] | |||
อุณหภูมิพื้นผิว: |
| |||
โชติมาตรปรากฏ: | 14.1[5] |
อมัลเทีย (อังกฤษ: Amalthea, กรีก: Αμάλθεια) บ้างเรียก จูปิเตอร์ 5 เป็นดาวบริวารของดาวพฤหัสบดี มีระยะทางห่างจากดาวแม่เป็นอันดับที่ 3 ค้นพบเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2435 โดยเอดวาร์ด อีเมอร์สัน บาร์นาร์ดและได้ตั้งชื่อตามอมัลเทียที่เป็นนิมฟ์ในเทพปกรณัมกรีก[6]
อมัลเทียอยู่ในวงโคจรใกล้ดาวพฤหัสบดีและอยู่ที่ในขอบชั้นนอกของชั้นวงแหวนเบาบางอมัลเทีย (Amalthea Gossamer Ring) ซึ่งเป็นวงแหวนที่เกิดขึ้นจากการสะสมของฝุ่นที่หลุดออกจากพื้นผิวของอมัลเทีย[7] เมื่อมองจากพื้นผิวของอมัลเทียจะปรากฏภาพอันน่าอัศจรรย์ใจของดาวพฤหัสบดีขนาดใหญ่ โดยปรากฏขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 46.5 องศา[b] อมัลเทียเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวบริวารชั้นในของดาวพฤหัสบดี อมัลเทียมีรูปร่างที่ไร้รูปทรงและมีสีแดง นักวิทยาศาสตร์คาดว่าอมัลเทียประกอบขึ้นจากน้ำแข็งที่เป็นรูพรุนซึ่งเจือด้วยสสารอื่น ๆ ที่ยังไม่ทราบแน่ชัด บนพื้นผิวพบร่องรอยของหลุมอุกกาบาตและเทือกเขาสูง[2]
มีการถ่ายภาพอมัลเทียได้ใน พ.ศ. 2522 และ พ.ศ. 2523 โดยยานอวกาศวอยเอจเจอร์ 1 และ 2 และต่อมาในช่วงทศวรรษ 1990 โดยยานอวกาศกาลิเลโอ[2]
การค้นพบและการตั้งชื่อ
[แก้]การค้นพบ
[แก้]อมัลเทียค้นพบในวันที่ 9 เดือนกันยายน พ.ศ. 2435 โดยเอดวาร์ด อีเมอร์สัน บาร์นาร์ดซึ่งใช้กล้องโทรทรรศน์หักเหแสงขนาด 36 นิ้ว (91 เซนติเมตร) ในหอดูดาวลิก[6][8] อมัลเทียเป็นดาวบริวารดวงสุดท้ายที่ค้นพบจากการสังเกตภาพโดยตรง (ตรงข้ามกับการสังเกตจากภาพถ่าย) และเป็นดาวบริวารดวงแรกภายหลังจากที่กาลิเลโอ กาลิเลอีค้นพบดวงจันทร์ของกาลิเลโอใน พ.ศ. 2153[9]
ชื่อ
[แก้]ดวงจันทร์บริวารดวงนี้ได้รับชื่อตามเทพเจ้าจากเทพนิยายกรีกชื่ออมัลเทียที่เป็นผู้อนุบาลซูส (เทียบได้กับจูปิเตอร์ในเทพปกรณัมโรมัน) ในวัยทารกด้วยนมแพะ[10] การเรียกขานลำดับตามเลขโรมันของดวงจันทร์นี้คือจูปิเตอร์ 5 ชื่ออมัลเทียไม่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลจนกระทั่ง พ.ศ. 2518[11][12] แม้ว่าชื่อนี้จะใช้อย่างไม่เป็นทางการเป็นเวลาหลายทศวรรษก็ตาม ชื่อนี้ได้รับการแนะนำครั้งแรกโดยกามีย์ ฟรามมาร์ยง (Camille Flammarion) [13] ก่อน พ.ศ. 2518 ชื่ออมัลเทียไม่ได้ใช้อย่างกว้างขวางดังเช่น จูปิเตอร์ 5[14]
วงโคจร
[แก้]อมัลเทียโคจรรอบดาวพฤหัสบดี โดยมีระยะทางห่างจากดาวพฤหัสบดี 181 000 กิโลเมตร (2.54 เท่าของรัศมีของดาวพฤหัสบดี) วงโคจรของอมัลเทียเป็นวงรีโดยมีความเยื้อง 0.003 และทำมุมเอียง 0.37° กับเส้นศูนย์ของดาวพฤหัสบดี[1] ค่าความเยื้องและมุมเอียงแม้ว่าจะมีขนาดเพียงเล็กน้อยก็ตามเป็นความผิดปกติของวงโคจรของดาวบริวารชั้นในซึ่งเป็นอิทธิพบจากดวงจันทร์ของกาลิเลโอดวงในสุดคือไอโอ: ในอดีตที่ผ่านมาอมัลเทียได้ผ่านการสั่นพ้องของวงโคจรกับไอโอหลายต่อหลายครั้งจนทำให้เกิดความเยื้องและมุมเอียงดังเช่นปัจจุบัน (การสั่นพ้องของวงโคจรเกิดขึ้นเมื่องอัตราส่วนของคาบการโคจรของวัตถุสองชิ้นเป็นอัตราส่วนจำนวนเต็ม เช่น m:n) [7]
วงโคจรของอมัลเทียอยู่ใกล้กับบริเวณขอบด้านนอกของชั้นวงแหวนเบาบางอมัลเทียซึ่งเป็นวงแหวนที่เกิดขึ้นจากการสะสมของฝุ่นที่หลุดออกจากพื้นผิวของอมัลเทีย[15]
ลักษณะทางกายภาพ
[แก้]พื้นผิวของอมัลเทียเป็นสีแดงเข้ม (เกิดเนื่องจากความสามารถในการสะท้อนแสงที่มากขึ้นตามความยาวคลื่นแสงจากสีเขียวไปยังความยาวคลื่นแสงใกล้แสงอินฟราเรด) [2] สีแดงที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากกำมะถันซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากดวงจันทร์ไอโอ หรือจากวัสดุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่น้ำแข็ง[2] รอยแต้มสีเขียวสดใสปรากฏอยู่ตามพื้นที่ลาดชันขนาดใหญ่หลายแห่งบนอมัลเทียแต่ต้นกำเนิดของสีเขียวสดใสนี้ยังคงเป็นปริศนา[2] พื้นผิวของอมัลเทียสุกสว่างกว่าพื้นผิวของดาวบริวารชั้นในของดาวพฤหัสบดีดวงอื่น ๆ อยู่เล็กน้อย[4] นอกจากนี้ความสว่างของซีกหัว และซีกหางก็มีความแตกต่างกัน โดยซีกหัวสว่างกว่าซีกหางราว 1.3 เท่า ความไม่สมมาตรนี้อาจจะเกิดจากความเร็วและความถี่ของการพุ่งชนของอุกกาบาตในบริเวณส่วนหัวที่มากกว่าบริเวณส่วนหางซึ่งทำให้สสารที่มีความสุกสว่างซึ่งอาจจะเป็นน้ำแข็งซึ่งอยู่ภายในของดวงจันทร์ถูกกระแทกออกมายังพื้นผิวด้านบนของดวงจันทร์[4]
อมัลเทียมีรูปร่างที่ไร้รูปทรงโดยมีรูปร่างคล้ายทรงรีขนาดประมาณ 250 x 146 x 128 กิโลเมตร[2] โดยมีขนาดพื้นที่ผิวระหว่าง 88,000 ถึง 170,000 ตารางกิโลเมตร คาดการณ์ว่าน่าจะประมาณ 130,000 ตารางกิโลเมตร แกนยาวของอมัลเทียจะถูกล็อกด้วยแรงน้ำขึ้นน้ำลงให้ชี้เข้าหาดาวพฤหัสบดีตลอดเวลาซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกันกับดาวบริวารชั้นในของดาวพฤหัสบดีดวงอื่น ๆ [7] พื้นผิวของดวงจันทร์เต็มไปด้วยร่องรอยของการพุ่งชนของอุกกาบาตบางแห่งซึ่งมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของดวงจันทร์ เช่น แอ่งอุตกาบาตแพนซึ่งเป็นหลุมอุกกาบาตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดโดยมีขนาดปากหลุมกว้าง 100 กิโลเมตร และลึกไม่ต่ำกว่า 8 กิโลเมตร[2] หลุมอุกกาบาตไกอา กว้าง 80 กิโลเมตรซึ่งอาจจะลึกไม่ต่ำกว่าสองเท่าของความลึกของหลุมอุกกาบาตแพน[2] อมัลเทียมีภูเขา 2 แห่ง ชื่อ Mons Lyctas และ Mons Ida ซึ่งมีความสูงถึง 20 กิโลเมตร[2]
จากรูปร่างที่ไร้รูปทรงและขนาดที่ใหญ่ของอมัลเทียทำให้ในอดีตได้มีการสรุปว่าอมัลเทียมีส่วนประกอบหลักเป็นของแข็งและคงตัว[7] ซึ่งเป็นคำอธิบายว่าถ้าหากว่าส่วนประกอบหลักของดวงจันทร์เป็นน้ำแข็งหรือสสารอ่อนอื่น ๆ ส่วนประกอบเหล่านี้ควรจะถูกแรงดึงดูดของดวงจันทร์เองดึงออกจนกลายเป็นรูปทรงกลมมากกว่ารูปร่างดังเช่นปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในวันที่ 5 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ยานอวกาศกาลิเลโอได้บินผ่านในระยะห่างต่ำกว่า 160 กิโลเมตรจากอมัลเทีย และระยะทางที่เบี่ยงเบนของวงโคจรของอมัลเทียจะใช้ในการคำนวณหามวลของดวงจันทร์ (ปริมาตรของดวงจันทร์ได้คำนวณไว้ก่อนหน้านี้จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายที่มีทั้งหมด คาดว่าจะมีความผิดพลาดไม่เกิน 10%) [2] ในที่สุดเราก็สามารถหาความหนาแน่นของอมัลเทียได้ 0.86 กรัม ต่อ ลูกบาศก์เซนติเมตร[3][16] ดังนั้นส่วนประกอบหลักของอมัลเทียจะต้องเป็นน้ำแข็งหรือโครงสร้างของดวงจันทร์ต้องเป็นโพรงหรือรูพรุน หรือโครงสร้างหรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ผสมผสานกัน ในการวัดเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยกล้องโทรทรรศน์ซูบารุได้ชี้ว่าดวงจันทร์ประกอบด้วยน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบหลัก[17] ซึ่งดวงจันทร์ไม่สามารถก่อตัวขึ้นได้ที่ตำแหน่งปัจจุบัน เนื่องจากดาวพฤหัสบดีในยุคก่อกำเนิดจะมีความร้อนสูงมาก ซึ่งจะละลายดวงจันทร์ก่อนที่ดวงจันทร์จะก่อตัวขึ้นมาได้ ดังนั้น จึงเป็นไปได้สูงที่ดวงจันทร์จะก่อตัวในวงโคจรที่ห่างไกลจากดาวพฤหัสบดี หรืออาจจะเป็นวัตถุที่พลัดหลงเข้ามาในระบบสุริยะและถูกดาวพฤหัสบดีจับยึดไว้[3] เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีภาพถ่ายจากยานในขณะที่บินผ่านเนื่องจากเกิดความเสียหายของกล้องถ่ายภาพของยานกาลิเลโอจากการแผ่รังสี ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2545 และภาพถ่ายอื่น ๆ ที่ได้มีความละเอียดต่ำ
อมัลเทียแผ่ความร้อนออกมามากกว่าที่รับจากดวงอาทิตย์เล็กน้อยซึ่งอาจจะเกิดจากอิทธิพลฟลักซ์ความร้อนของดาวพฤหัส (<9 เคลวิน) แสงแดงซึ่งสะท้อนจากดาวพฤหัสบดี (<5 K) และการโจมตีโดยอนุภาค (<2 K) [14] ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับดวงจันทร์ไอโอถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นจากต่างสาเหตุกัน
ชื่อสถานที่ทางภูมิศาสตร์
[แก้]มีสถานที่อยู่ 4 ที่ซึ่งได้มีการตั้งชื่อบนอมัลเทีย ได้แก่หลุมอุกกาบาต 2 หลุมและพื้นที่สว่าง (faculae) [18]ซึ่งเชื่อว่าเป็นภูเขา พื้นที่สว่างนี้ตั้งอยู่บนขอบของสันเขาด้านตรงข้ามดาวพฤหัสของอมัลเทีย[2]
ชื่อสถานที่ | ตั้งชื่อตาม |
---|---|
แพน (หลุมอุตกาบาต) | แพน เทพเจ้าของกรีก |
ไกอา (หลุมอุตกาบาต) | ไกอา เทพเจ้าของกรีก |
Lyctos Facula | Lyctos ครีต |
Ida Facula | Mount Ida ครีต |
ความสัมพันธ์กับวงแหวนของดาวพฤหัสบดี
[แก้]เนื่องด้วยความหนาแน่นที่ต่ำมากและรูปร่างที่ไร้รูปทรงของดวงจันทร์ทำให้เกิดความเร็วหลุดพ้น ณ จุดใด ๆ บนพื้นผิวของอมัลเทียมีค่าไม่เกิน 1 เมตร ต่อ วินาที ซึ่งเป็นค่าที่ห่างไกลจากค่าความเร็วหลุดพ้นของดาวพฤหัสบดีอย่างมาก ที่ความเร็วหลุดพ้นต่ำขนาดนี้แม้แต่ฝุ่นก็สามารถหลุดออกจากดวงจันทร์ได้โดยง่ายแม้เพียงการพุ่งชนของอุกกาบาตขนาดไมโคร ซึ่งฝุ่นที่หลุดออกจากผิวดวงจันทร์นี่เองที่ได้รวมตัวและก่อเกิดเป็นชั้นวงแหวนเบาบางอมัลเทีย[7]
ในระหว่างที่ยานกาลิเลโอบินผ่านอมัลเทีย ยานกาลิเลโอได้ตรวจพบสัญญาณกระพริบ 9 ครั้งซึ่งน่าจะเป็นดวงจันทร์ขนาดเล็กซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับวงโคจรของอมัลเทีย เนื่องจากสัญญาณตรวจพบได้จากจุดเดียวเท่านั้น จึงไม่สามารถวัดระยะทางที่แท้จริงได้ ดวงจันทร์ขนาดเล็กอาจมีขนาดได้ตั้งแต่ก้อนกรวดหรือสนามกีฬา ยังไม่เป็นที่ทราบถึงต้นกำเนิดของดวงจันทร์ขนาดเล็กเหล่านี้ บางทีอาจถูกจับไว้โดยแรงดึงดูดในตำแหน่งวงโคจรปัจจุบัน หรืออาจเป็นชิ้นส่วนที่หลุดออกมาเมื่อดวงจันทร์ถูกอุกกาบาตชน ในวงโคจรต่อไปซึ่งเป็นวงโคจรสุดท้ายของยานกาลิเลโอ ยานได้ตรวจพบดวงจันทร์ขนาดเล็กอีกจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในครั้งนี้อมัลเทียได้โคจรอยู่ที่อีกด้านของดางพฤหัสบดี ดังนั้นจึงน่าจะเป็นไปได้ที่วัตถุเหล่านี้จะก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนรอบดาวพฤหัสบดีซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับวงโคจรของอมัลเทีย[19][20][21][22]
ทิวทัศน์ของอมัลเทียและทิวทัศน์ที่มองจากอมัลเทีย
[แก้]จากพื้นผิวของดาวพฤหัสบดีหรือเหนือชั้นเมฆของดาวพฤหสับดี อมัลเทียจะปรากฏอย่างสุกสว่างด้วยค่าความส่องสว่างปรากฏที่ – 4.7[b] ซึ่งเป็นความสว่างระดับเดียวกับดาวศุกร์เมื่อมองจากโลก แต่อมัลเทียปรากฏขนาดเพียง 8 ลิปดา (arcminutes) [c] ซึ่งมีขนาดเล็กจนสังเกตได้ยาก คาบการโคจรของอมัลเทียยาวกว่าวันของดาวพฤหัสบดีเพียงเล็กน้อย (สำหรับกรณีนี้ประมาณ 20%) ซึ่งหมายความว่าอมัลเทียเดินทางข้ามขอบฟ้าของดาวพฤหัสบดีอย่างช้า ๆ เวลาตั้งแต่ดวงจันทร์อมัลเทียขึ้นถึงดวงจันทร์อมัลเทียลับขอบฟ้าจะมากกว่า 29 ชั่วโมง[23]จากพื้นผิวของอมัลเทียดาวพฤหัสบดีปรากฏขนาดใหญ่มากประมาณ 46 องศา[c] อมัลเทียมีขนาดใหญ่ประมาณ 92 เท่าของจันทร์เต็มดวงเมื่อมองจากโลกเพราะว่าการหมุนไปพร้อมกันกับดาวพฤหัสบดีจะปรากฏคงที่บนท้องฟ้าไม่เคลื่อนที่ไปไหน และจะไม่สามารถมองเห็นได้จากอีกด้านของอมัลเทีย ดวงอาทิตย์ถูกดาวพฤหัสบดีบดบังราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งทุก ๆ ครั้งที่โคจรครบหนึ่งรอบ และด้วยคาบการโคจรของอมัลเทียที่สั้นมากทำให้มีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าหกชั่วโมง แม้ว่าดาวพฤหัสบดีจะปรากฏความสว่างมากกว่า 900 เท่าเมื่อเทียบกับดวงจันทร์เต็มดวงที่มองจากโลก แต่ก็กระจายไปบนพื้นที่มากกว่า 8500 เท่า ดังนั้น จึงไม่สว่างมากกว่าเมื่อเทียบต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่[b]
การสำรวจ
[แก้]ในช่วง พ.ศ. 2522 – 2523 ยานอวกาศวอยเอจเจอร์ 1 และ 2 ได้ถ่ายภาพแรกของอมัลเทียซึ่งแสดงให้เห็นถึงพื้นผิวของอมัลเทีย[2] อมัลเทียยังได้รับการตรวจวัดแสงทั้งในย่านความถี่ที่มองเห็นได้และย่านอินฟราเรดและตรวจวัดอุณหภูมิของพื้นผิว[14] ต่อมายานกาลิเลโอได้ถ่ายภาพพื้นผิวของอมัลเทียโดยสมบูรณ์ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ยานกาลิเลโอได้เข้าใกล้อมัลเทียที่ความสูงประมาณ 160-170 กม. ยานได้ตรวจวัดมวลของอมัลเทียอย่างแม่นยำและยานกาลิเลโอได้อาศัยแรงดึงดูดของอมัลเทียในการเปลี่ยนวงโคจรเพื่อพุ่งเข้าไปยังดาวพฤหัสบดีในเดือนกันยายน พ.ศ. 2546 อันเป็นการสิ้นสุดภารกิจของยานกาลิเลโอ[3] ใน พ.ศ. 2549 วงโคจรของอมัลเทียได้รับการตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้งโดยยานนิวฮอไรซันส์
ในนวนิยาย
[แก้]อมัลเทียปรากฏเป็นฉากในบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์หลายชิ้น รวมทั้งงานของอาร์เธอร์ ซี. คลาร์กและเจมส์ บลิช
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 คำนวณบนพื้นฐานของพารามิเตอร์อื่น ๆ
- ↑ 2.0 2.1 2.2 คำนวณบนพื้นฐานของระยะทางที่รู้จักขนาดระยะเวลาและความส่องสว่างปรากฏที่มองเห็นได้จากโลก ความส่องสว่างปรากฏที่เห็นจากดาวพฤหัสบดี mj คำนวณจากความส่องสว่างปรากฏจากบนโลก mv โดยใช้สูตร mj=mv−log2.512 (Ij/Iv) ที่ซึ่ง Ij และ Iv มีความสว่างตามลำดับ (ดูที่ความส่องสว่างปรากฏ) ซึ่งมีขนาดตามกฎกำลังสองผกผัน สำหรับความส่องสว่างปรากฏดูที่ http://www.oarval.org/ClasSaten.htm และดาวพฤหัส
- ↑ 3.0 3.1 คำนวณจากขนาดที่รู้จักและระยะทางของวัตถุ โดยใช้สูตร 2*arcsin (Rb/Ro) โดยที่ Rb คือรัศมีของวัตถุและ Ro คือรัศมีของวงโคจรของอมัลเทียหรือระยะหาวจากผิวหน้าดาวพฤหัสถึงอมัลเทีย
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 Cooper Murray et al. 2006.
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 2.14 2.15 Thomas Burns et al. 1998.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 Anderson Johnson et al. 2005.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Simonelli Rossier et al. 2000.
- ↑ Observatorio ARVAL.
- ↑ 6.0 6.1 Barnard 1892.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 Burns Simonelli et al. 2004.
- ↑ Lick Observatory (1894). A Brief Account of the Lick Observatory of the University of California. The University Press. p. 7–.
- ↑ Bakich M. E. (2000). The Cambridge Planetary Handbook. Cambridge University Press. pp. 220–221. ISBN 9780521632805.
- ↑ "Planet and Satellite Names and Discoverers". Gazetteer of Planetary Nomenclature. International Astronomical Union (IAU) Working Group for Planetary System Nomenclature (WGPSN). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-21. สืบค้นเมื่อ 2014-10-08.
- ↑ Blunck J. (2010). Solar System Moons: Discovery and Mythology (PDF). Springer. pp. 9–15. Bibcode:2010ssm..book.....B. doi:10.1007/978-3-540-68853-2. ISBN 978-3-540-68852-5. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2018-04-27.
- ↑ Flammarion C.; Kowal C.; Blunck J. (1975-10-07). "Satellites of Jupiter". IAU Circular. Central Bureau for Astronomical Telegrams. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-22. สืบค้นเมื่อ 2014-10-17. (บิบโค้ด[1])
- ↑ Flammarion 1893.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 Simonelli 1983.
- ↑ Burns Showalter et al. 1999.
- ↑ Swiss Cheese Moon.
- ↑ Takato Bus et al. 2004.
- ↑ USGS: Jupiter: Amalthea.
- ↑ Fieseler P. D.; Adams O. W.; Vandermey N.; Theilig E. E.; Schimmels K. A.; Lewis G. D.; Ardalan S. M.; Alexander C. J. (2004). "The Galileo star scanner observations at Amalthea". Icarus. 169 (2): 390–401. Bibcode:2004Icar..169..390F. doi:10.1016/j.icarus.2004.01.012.
- ↑ "Another Find for Galileo". Jet Propulsion Laboratory. 9 April 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2004-11-04. สืบค้นเมื่อ 2012-03-27.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - ↑ Fieseler P. D.; Ardalan S. M. (2003-04-04). "Objects near จูปิเตอร์ 5 (Amalthea)". IAU Circular. Central Bureau for Astronomical Telegrams. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-02. สืบค้นเมื่อ 2014-10-12. (บิบโค้ด[2])
- ↑ Emily Lakdawalla (2013-05-17). "A serendipitous observation of tiny rocks in Jupiter's orbit by Galileo". The Planetary Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-14. สืบค้นเมื่อ 2014-10-14.
- ↑ Ley, Willy (July 1968). "Interplanetary Communications". For Your Information. Galaxy Science Fiction. pp. 116–124.
บรรณานุกรม
[แก้]- Anderson, J. D.; Johnson, T. V.; Schubert, G.; Asmar, S.; Jacobson, R. A.; Johnston, D.; Lau, E. L.; Lewis, G.; Moore, W. B.; Taylor, A.; Thomas, P. C.; Weinwurm, G. (27 May 2005). "Amalthea's Density is Less Than That of Water". Science. 308 (5726): 1291–1293. Bibcode:2005Sci...308.1291A. doi:10.1126/science.1110422. PMID 15919987. S2CID 924257.
- Barnard, E. E. (12 October 1892). "Discovery and observations of a fifth satellite to Jupiter". The Astronomical Journal. 12 (11): 81–85. Bibcode:1892AJ.....12...81B. doi:10.1086/101715.
- Burns, Joseph A.; Showalter, Mark R.; Hamilton, Douglas P.; Nicholson, Philip D.; de Pater, Imke; Ockert-Bell, Maureen E.; Thomas, Peter C. (14 May 1999). "The Formation of Jupiter's Faint Rings". Science. 284 (5417): 1146–1150. Bibcode:1999Sci...284.1146B. doi:10.1126/science.284.5417.1146. PMID 10325220.
- Burns, Joseph A.; Simonelli, Damon P.; Showalter, Mark R.; Hamilton, Douglas P.; Porco, Carolyn C.; Throop, Henry; Esposito, Larry W. (2004). "Jupiter's Ring-Moon System" (PDF). ใน Bagenal, Fran; Dowling, Timothy E.; McKinnon, William B. (บ.ก.). Jupiter: The Planet, Satellites and Magnetosphere. Cambridge University Press. pp. 241–262. Bibcode:2004jpsm.book..241B. ISBN 978-0-521-81808-7.
- Cooper, N. J.; Murray, C. D.; Porco, C. C.; Spitale, J. N. (March 2006). "Cassini ISS astrometric observations of the inner jovian satellites, Amalthea and Thebe". Icarus. 181 (1): 223–234. Bibcode:2006Icar..181..223C. doi:10.1016/j.icarus.2005.11.007.
- Flammarion, Camille (1893). "Le Nouveau Satellite de Jupiter". L'Astronomie. 12: 91–94. Bibcode:1893LAstr..12...91F.
- Observatorio ARVAL (15 เมษายน 2007). "Classic Satellites of the Solar System". Observatorio ARVAL. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 17 ธันวาคม 2011.
- Simonelli, D. P. (June 1983). "Amalthea: Implications of the temperature observed by Voyager". Icarus. 54 (3): 524–538. Bibcode:1983Icar...54..524S. doi:10.1016/0019-1035(83)90244-0. ISSN 0019-1035.
- Simonelli, D. P.; Rossier, L.; Thomas, P. C.; Veverka, J.; Burns, J. A.; Belton, M. J. S. (October 2000). "Leading/Trailing Albedo Asymmetries of Thebe, Amalthea, and Metis". Icarus. 147 (2): 353–365. Bibcode:2000Icar..147..353S. doi:10.1006/icar.2000.6474.
- "Swiss Cheese Moon: Jovian Satellite Full of Holes". Space.com. 9 December 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2008.
- Takato, Naruhisa; Bus, Schelte J.; Terada, H.; Pyo, Tae-Soo; Kobayashi, Naoto (24 December 2004). "Detection of a Deep 3-μm Absorption Feature in the Spectrum of Amalthea (JV)". Science. 306 (5705): 2224–2227. Bibcode:2004Sci...306.2224T. doi:10.1126/science.1105427. PMID 15618511. S2CID 129845022.
- Thomas, P. C.; Burns, J. A.; Rossier, L.; Simonelli, D.; Veverka, J.; Chapman, C. R.; Klaasen, K.; Johnson, T. V.; Belton, M. J. S.; Galileo Solid State Imaging Team (September 1998). "The Small Inner Satellites of Jupiter". Icarus. 135 (1): 360–371. Bibcode:1998Icar..135..360T. doi:10.1006/icar.1998.5976.
- USGS/IAU. "Amalthea Nomenclature". Gazetteer of Planetary Nomenclature. USGS Astrogeology. สืบค้นเมื่อ 2012-03-27.