โปเกมอน เรด และ กรีน
โปเกมอน เรด และ กรีน | |
---|---|
ผู้พัฒนา | เกมฟรีก |
ผู้จัดจำหน่าย | นินเท็นโด |
กำกับ | ซาโตชิ ทาจิริ |
อำนวยการผลิต | ชิเงรุ มิยาโมโตะ ทาเคชิ คาวางูจิ สึเนคาซุ อิชิฮาระ |
ออกแบบ | |
ศิลปิน | เค็น ซูงิโมริ |
เขียนบท | ซาโตชิ ทาจิริ เรียวซูเกะ ทานิงูจิ ฟูมิฮิโระ โนโนมูระ ฮิโรยูกิ จินไน |
แต่งเพลง | จุนอิจิ มาสึดะ |
ชุด | โปเกมอน |
เครื่องเล่น | เกมบอย |
วางจำหน่าย | เรดและกรีนบลู (ฉบับญี่ปุ่น) (โคโรโคโรคอมมิค)
เรดและบลู |
แนว | วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท |
รูปแบบ | ผู้เล่นคนเดียว, ผู้เล่นหลายคน |
โปเกมอน เรด และ กรีน[a] เป็นวิดีโอเกมเล่นตามบทบาทพัฒนาโดยบริษัทเกมฟรีกและจำหน่ายโดยนินเท็นโดสำหรับเครื่องเล่นเกมบอย เกมโปเกมอนภาคนี้เป็นรุ่นที่หนึ่งของซีรีส์โปเกมอน ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 ในประเทศญี่ปุ่น โดยถูกแบ่งวางจำหน่ายทั้ง 2 เวอร์ชันประกอบไปด้วย พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ สีแดง[b] และ พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ สีเขียว[c] ต่อมาได้เพิ่มเวอร์ชันเพิ่มเติมได้แก่ พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ สีน้ำเงิน[d] และ พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ พิคาชู[e]
ต่อมาได้นำเกมนี้มากลับมาทำใหม่ในชื่อว่า โปเกมอน ไฟร์เรด และ ลีฟกรีน บนเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2004
นอกจากนี้ได้ถูกวางจำหน่ายในรูปแบบเวอร์ชวลคอนโซลบนเครื่องนินเท็นโด 3ดีเอส เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016
ประวัติ
[แก้]พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ สีแดง และ สีเขียว เป็นวิดีโอเกมชุดแรกของโปเกมอน โดยหน้าปกของกล่องเกมเป็นรูป ลิซาร์ดอน (สีแดง) และ ฟุชิกิบานะ (สีเขียว)
ผู้เล่นได้ควบคุมตัวละครหลักจากมุมมองด้านบนและพาเขาท่องภูมิภาคคันโตในภารกิจเพื่อเป็นสุดยอดนักต่อสู้โปเกมอน เป้าหมายของเกมคือการเป็นแชมเปียนของโปเกมอนลีกโดยเอาชนะหัวหน้ายิม 8 คน และโปเกมอนเทรนเนอร์ยอดเยี่ยม 4 คนในภูมิภาค หรือเรียกว่า "จตุรเทพทั้งสี่" (Elite Four) อีกเป้าหมายหนึ่งของเกมคือเติมเต็มสมุดภาพโปเกมอนหรือโปเกเดกซ์ (Pokédex) สารานุกรมภายในเกมให้สมบูรณ์ โดยครอบครองโปเกมอนให้ครบ 150 ตัว ทีมร็อกเก็ตเป็นกองกำลังปฏิปักษ์ เช่นเดียวกับคู่แข่งวัยเด็กของตัวละครผู้เล่นด้วย ทั้งนี้เวอร์ชัน สีแดง และ สีเขียว มีอุปกรณ์เสริมคือสายเกมลิงก์เคเบิล สำหรับเชื่อมต่อเครื่องเกมบอยสองเครื่องและสามารถแลกเปลี่ยนโปเกมอนหรือต่อสู้ระหว่างกันได้ เกมทั้งสองภาคเป็นอิสระจากกันแต่มีเนื้อเรื่องเหมือนกัน[8] และขณะที่ผู้เล่นสามารถเล่นแยกกันได้ ผู้เล่นจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนโปเกมอนกันเพื่อครอบครองให้ได้ครบ 150 ตัว โปเกมอนตัวที่ 151 (มิว) จะได้มาผ่านความผิดพลาดหรือกลิตช์ (glitch) ในเกมหรือการจำหน่ายอย่างเป็นทางการจากนินเท็นโด
ต่อมาในปี ค.ศ. 1998 ได้มีการวางจำหน่ายนอกประเทศทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย โดยใช้ชื่อว่า โปเกมอน เรดเวอร์ชัน และ บลูเวอร์ชัน (อังกฤษ: Pokémon Red Version and Blue Version) โดยเอนจินภาพกราฟิกอ้างอิงมาจาก พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ สีน้ำเงิน ของประเทศญี่ปุ่น[9]
พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ ได้รับการตอบรับที่ดี นักวิจารณ์ยกย่องทางเลือกในการเล่นหลายคน โดยเฉพาะแนวคิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอน เกมได้คะแนน 89% จากเว็บไซต์เกมแรงกิงส์ และติดอันดับหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปีในรายชื่อเกม 100 เกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของไอจีเอ็น การจำหน่ายเกมนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แฟรนไชส์ทำยอดขายได้หลายพันล้านดอลลาร์ ขายรวมกันได้หลายล้านหน่วยทั่วโลก ใน ค.ศ. 2009 เกมเคยถูกบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ หัวข้อ "เกม RPG สำหรับเกมบอยที่ขายดีที่สุด" และ "เกม RPG ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล"
ระบบเกม
[แก้]พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ แสดงภาพในมุมมองบุคคลที่สาม เหนือศีรษะ และประกอบด้วยหน้าจอพื้นฐานสามหน้าจอ ได้แก่ โลกของเกม (Overworld) ที่ผู้เล่นใช้นำทางตัวละครหลัก[10] ฉากต่อสู้แบบมองข้าง[11] และหน้าจอเมนู ซึ่งผู้เล่นใช้ปรับแต่งค่าให้โปเกมอน ไอเทม หรือการตั้งค่าของระบบเกม[12]
ผู้เล่นสามารถใช้โปเกมอนต่อสู้กับโปเกมอนของคนอื่น เมื่อผู้เล่นเผชิญหน้ากับโปเกมอนป่าหรือได้รับคำท้าจากเทรนเนอร์ หน้าจอจะสลับไปเป็นฉากต่อสู้แบบผลัดกันโจมตี (Turn-based) ที่แสดงโปเกมอนที่ใช้ต่อสู้ ระหว่างต่อสู้ ผู้เล่นอาจเลือกท่าโจมตีให้โปเกมอนหนึ่งในสี่ท่า ใช้ไอเทม สลับเปลี่ยนโปเกมอนเป็นตัวอื่น หรือพยายามหนี โปเกมอนมีค่าฮิตพอยต์ (HP) เมื่อค่าฮิตพอยต์ของโปเกมอนลดลงเหลือศูนย์ มันจะหมดสติและไม่สามารถต่อสู้ได้จนกว่ามันจะฟื้น เมื่อโปเกมอนของศัตรูหมดสติ โปเกมอนของผู้เล่นที่ได้เข้าฉากต่อสู้จะได้รับค่าประสบการณ์ (EXP) หลังสะสมค่าประสบการณ์ได้มากพอ โปเกมอนจะขึ้นเลเวลใหม่[11] เลเวลของโปเกมอนจะควบคุมคุณสมบัติทางกายภาพของโปเกมอน เช่น ค่าสถิติในการต่อสู้ และท่าโจมตี หากถึงเลเวลที่กำหนด โปเกมอนอาจพัฒนาร่าง วิวัฒนาการของโปเกมอนนี้จะกระทบค่าสถิติและเลเวลที่โปเกมอนจะเรียนรู้ท่าใหม่ (เลเวลสูงจะได้รับค่าสถิติต่อเลเวลเพิ่มมากขึ้น แต่พวกมันอาจไม่ได้เรียนท่าใหม่ได้เร็ว หากเทียบกับเลเวลต่ำ ๆ)[13]
การจับโปเกมอนการจับโปเกมอนเป็นอีกสิ่งสำคัญในการเล่นเกม ระหว่างต่อสู้กับโปเกมอนป่า ผู้เล่นอาจโยนมอนสเตอร์บอลที่โปเกมอน ถ้าจับโปเกมอนสำเร็จ โปเกมอนจะกลายเป็นของผู้เล่น ปัจจัยความสำเร็จในการจับสำเร็จ ได้แก่ ค่าฮิตพอยต์ของโปเกมอนเป้าหมาย และชนิดของมอนสเตอร์บอลที่ใช้ ยิ่งโปเกมอนเป้าหมายมีฮิตพอยต์น้อยลงและมอนสเตอร์บอลที่มีโอกาสจับได้ ยิ่งมีอัตราสำเร็จสูง[14] เป้าหมายสูงสุดของเกมคือการเติมเต็มโปเกเดกซ์ (Pokédex) สารานุกรมโปเกมอนแบบเบ็ดเสร็จ โดยการจับ พัฒนาร่าง และแลกเปลี่ยนโปเกมอนครบ 151 สายพันธุ์[15]
นอกจากนี้ยังให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนระหว่างตลับรอมสองตลับได้ผ่านสายเชื่อมเกมลิงก์เคเบิล[16] การแลกเปลี่ยนด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องทำเพื่อให้สมุดภาพโปเกมอนครบสมบูรณ์ เนื่องจากโปเกมอนบางตัวจะพัฒนาร่างต่อเมื่อถูกแลกเปลี่ยน และเกมแต่ละเวอร์ชันจะมีโปเกมอนที่หาไม่ได้ในอีกเวอร์ชันหนึ่ง[8] สายลิงก์เคเบิลทำให้ผู้เล่นสามารถต่อสู้กับโปเกมอนของผู้เล่นอีกคนได้ด้วย[16] เมื่อเล่นภาคเรดและบลูบนเกมบอยอัดวานซ์ หรือเอสพี เกมไม่รองรับสายเชื่อมมาตรฐาน GBA/SP ผู้เล่นต้องใช้สายเชื่อมนินเท็นโดยูนิเวอร์ซัลเกมลิงก์เคเบิลแทน[17] ยิ่งกว่านั้น เกมภาคภาษาอังกฤษจะเข้ากันไม่ได้กับภาคภาษาญี่ปุ่น และการแลกเปลี่ยนระหว่างกันจะทำให้ไฟล์เซฟเกมมีปัญหา เนื่องจากเกมทั้งสองภาษาใช้ภาษาต่างกันและชุดอักขระคนละชุดกัน[18]
ทั้งนี้ตัวเกมสามารถแลกเปลี่ยนกับโปเกมอนเวอร์ชันเดียวกันได้ทั้งสีแดง, สีเขียว, สีน้ำเงิน, พิคาชู และสามารถแลกเปลี่ยนกับเกมโปเกมอนเจเนอเรชันที่สอง โปเกมอน โกลด์ ซิลเวอร์ และคริสตัล ได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัด เช่น เกมจะไม่สามารถเชื่อมกันได้หากผู้เล่นคนใดคนหนึ่งมีโปเกมอนหรือท่าโจมตีที่เริ่มมีในเจเนอเรชันที่สอง[19] ใน โปเกมอนสเตเดียม และ โปเกมอนสเตเดียม 2 ของเครื่องนินเท็นโด 64 สามารถใช้ข้อมูล เช่น โปเกมอนและไอเทมจากโปเกมอนเวอร์ชันหลักได้ผ่านอุปกรณ์ทรานสเฟอร์แพ็ก (Transfer Pak)[20][21] แต่ว่าเกมเวอร์ชันแรกไม่สามารถเข้ากันได้กับเกมโปเกมอนตั้งแต่รุ่น "แอดวานซ์เจเนอเรชัน" ของเครื่องเกมบอยอัดวานซ์ หรือเกมคิวบ์ เป็นต้นไป[22]
โครงเรื่อง
[แก้]ฉากท้องเรื่อง
[แก้]ฉากท้องเรื่องในเกมโปเกมอน เรดและบลูคือภูมิภาคคันโต การออกแบบคันโตได้แรงบันดาลใจมาจากภูมิภาคคันโตที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นภูมิภาคโดดเด่นกว่าเกมหลายภาคต่อมา เนื่องจากเป็นที่อยู่ของโปเกมอน 151 สายพันธุ์ รวมถึงมีเมืองและนครที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ และเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง บางบริเวณจะเข้าได้เฉพาะเมื่อผู้เล่นเรียนรู้ความสามารถพิเศษหรือได้รับไอเทมพิเศษ[23] บริเวณที่ผู้เล่นสามารถจับโปเกมอนได้มีตั้งแต่ถ้ำไปจนถึงทะเล ซึ่งชนิดของโปเกมอนที่จับได้จะแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เมโนคุราเงะ (Tentacool) จะจับได้โดยวิธีการตกปลาหรือเมื่อผู้เล่นอยู่บนผิวน้ำ ขณะที่ซูแบต (Zubat) จะจับได้เฉพาะในถ้ำ
เนื้อเรื่อง
[แก้]หลังจากเสี่ยงเดินทางเข้าไปในกอหญ้าสูงคนเดียว มีเสียงเสียงหนึ่งเตือนผู้เล่นให้หยุด ซึ่งเผยว่าเป็นศาสตราจารย์ออคิดส์ หรือโอ๊ก (Professor Oak) นักวิจัยโปเกมอนชื่อดัง ศาสตราจารย์ออคิดส์อธิบายผู้เล่นว่าโปเกมอนป่าอาจอาศัยอยู่ในกอหญ้านั้น และหากเผชิญหน้าโปเกมอนตามลำพังอาจเป็นอันตราย[24] เขาพาผู้เล่นไปที่ห้องปฏิบัติการ และเขาได้พบกับหลานชายของศาสตราจารย์ ซึ่งจะเป็นคู่แข่งของผู้เล่น ผู้เล่นและคู่แข่งจะได้เลือกโปเกมอนเริ่มต้นที่จะเดินทางไปกับเขา ได้แก่ ฟุชิงิดาเนะ เซนิกาเมะ และฮิโตคาเงะ[25] หลานชายของศาสตราจารย์จะเลือกโปเกมอนที่ได้เปรียบกว่าโปเกมอนของผู้เล่นเสมอ จากนั้นเขาจะท้าสู้กับผู้เล่นหลังได้รับโปเกมอนใหม่ และจะต่อสู้อีก ณ จุดที่กำหนดไว้ตลอดเกม[26]
ขณะเยี่ยมเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาค ผู้เล่นจะได้พบกับสถานที่พิเศษเรียกว่า ยิม ภายในอาคารเหล่านั้นจะมีหัวหน้ายิม ซึ่งผู้เล่นจะต้องเอาชนะแต่ละคนเพื่อให้ได้เข็มกลัดครบแปดอัน เมื่อสะสมเข็มกลัดครบแล้ว ผู้เล่นจะได้รับอนุญาตให้เข้าโปเกมอนลีกที่มีโปเกมอนเทรนเนอร์ที่ดีที่สุดในภูมิภาค ผู้เล่นจะได้ต่อสู้กับสี่จตุรเทพ (Elite Four) และแชมเปียนคนใหม่คือ คู่แข่งของผู้เล่น[27] ตลอดทั้งเกม ผู้เล่นยังได้ต่อสู้กับกองกำลังของแก๊งร็อกเก็ต องค์กรอาชญากรรมที่ใช้โปเกมอนในทางที่ผิด[13] พวกเขาคิดแผนขโมยโปเกมอนหายาก และผู้เล่นจะต้องขัดขวางให้ได้[28][29]
การพัฒนา
[แก้]แนวคิดของเกมโปเกมอนเกิดจากงานอดิเรกสะสมแมลง กิจกรรมที่ผู้ออกแบบเกม ซาโตชิ ทาจิริ เคยชอบสะสมในเวลาว่างเมื่อครั้งเป็นเด็ก[30] เมื่อเติบโตขึ้น เขาสังเกตความเจริญในเมืองที่เขาอาศัยอยู่มากขึ้น และการสะสมแมลงเริ่มลดลง ทาจิริสังเกตว่าเด็ก ๆ มักเล่นในบ้านแทนนอกบ้าน และเกิดความคิดที่จะสร้างวิดีโอเกที่มีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายแมลง เรียกว่า โปเกมอน เขาคิดว่าเด็ก ๆ จะผูกพันกับโปเกมอนได้โดยตั้งชื่อให้มัน และควบคุมมันเพื่อทดแทนความกลัวและความโกรธ เป็นการคลายเครียดในทางที่ดี อย่างไรก็ตามโปเกมอนจะไม่เลือดออกและไม่ตาย เพียงแค่หมดสติเท่านั้น แนวคิดนี้เป็นประเด็นที่ทาจิริจริงจังมาก เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้โลกของเกมมี "ความรุนแรงที่ไร้ประโยชน์"[31]
เมื่อเกมบอยวางจำหน่าย ทาจิริคิดว่าระบบของเครื่องเหมาะสมกับสิ่งที่เขาคิดไว้ โดยเฉพาะลิงก์เคเบิล ซึ่งเขามองไว้ว่าจะให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนกันได้ แนวคิดการแลกเปลี่ยนสารสนเทศเป็นสิ่งใหม่ในอุตสาหกรรมวิดีโอเกม เพราะก่อนหน้านี้ การเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลมีไว้แข่งขันกันเท่านั้น[32] "ผมจินตนาการถึงชุดสารสนเทศที่ส่งหากันได้ระหว่างเกมบอยสองเครื่องด้วยสายเคเบิลชนิดพิเศษ และผมร้องว้าว มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่" ทาจิริกล่าว[33] ทาจิริยังได้รับแรงบันดาลใจจากเกม เดอะไฟนอลแฟนตาซีเลเจนด์ ของบริษัทสแควร์ โดยเขากล่าวในบทสัมภาษณ์ว่าเกมให้แนวคิดกับเขาว่าไม่ใช่แค่เกมแอ็กชันที่สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อเกมเครื่องมือถือได้[34]
ตัวละครหลักตั้งชื่อตามทาจิริเองว่า ซาโตชิ โดยเขาพรรณาให้เป็นตนเองในวัยรุ่น และตั้งอีกชื่อหนึ่งตามเพื่อนสนิท ต้นแบบ ที่ปรึกษา และนักพัฒนาของนินเท็นโด ชิเงรุ มิยาโมโตะ ให้ชื่อตัวละครนั้นว่า ชิเงรุ[31][35] เค็น ซุงิโมริ ศิลปินและเพื่อนของทาจิริพัฒนาภาพวาดและแบบของโปเกมอน โดยทำงานกับทีมงานน้อยกว่าสิบคนเพื่อออกแบบโปเกมอนทั้งหมด 151 ตัว ซุงิโมริตรวจสอบแบบครั้งสุดท้าย และวาดโปเกมอนออกมาในหลายมุมเพื่อช่วยให้ฝ่ายกราฟิกเรนเดอร์โปเกมอนให้[36][37] ดนตรีในเกมแต่งโดยจุนิชิ มาสุดะ โดยเขาใช้ประโยชน์จากช่องเสียงสี่ช่องของเกมบอยในการสร้างทำนองและเสียงประกอบ และ "เสียงร้อง" ของโปเกมอนที่จะได้ยินเมื่อเผชิญหน้ากับมัน เขากล่าวว่าชื่อฉากเปิดเกมคือ "มอนสเตอร์" ผลิตด้วยภาพฉากต่อสู้ที่มาจากความคิด ใช้สัญญาณรบกวนสีขาวเพื่อให้ฟังคล้ายดนตรีสวนสนามและเลียนแบบเสียงกลองเล็ก[38]
ในช่วงแรกที่เริ่มพัฒนาเกมได้ใช้ชื่อว่า แคปซูลมอนสเตอร์ส (Capsule Monsters) และเนื่องจากความลำบากเรื่องเครื่องหมายการค้า เมื่อชื่อเกมผ่านการซื้อขายหลายธุรกรรมมาก ทำให้ชื่อกลายเป็น คาปูมอน (CapuMon และ KapuMon) ก่อนจะได้เปลี่ยนชื่อเป็น พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ส (Pocket Monsters)[39][40] ทาจิริมักคิดเสมอว่านินเท็นโดจะปฏิเสธเกมของเขา เนื่องจากบริษัทยังไม่เข้าใจแนวคิดของเกมอย่างแท้จริงตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เกมกลายเป็นความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ทาจิริและนินเท็นโดไม่เคยคาดคิด เพราะขณะนั้นความนิยมของเกมบอยเริ่มลดลงแล้ว[31] เมื่อได้ยินแนวคิดเกมโปเกมอน มิยาโมโตะแนะว่าให้ทำให้โปเกมอนแต่ละตลับมีโปเกมอนไม่เหมือนกัน เพื่อที่จะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอนได้[41]
ในญี่ปุ่น พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ส เรด และ กรีน วางจำหน่ายเป็นภาคแรก เกมขายได้รวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากความคิดของนินเท็นโดที่ให้ผลิตออกมาเป็นสองภาคย่อยแทนที่จะทำเป็นภาคเดียว เพื่อให้ผู้ซื้อซื้อทั้งสองภาค หลายเดือนต่อมา ได้เพิ่มเวอร์ชัน บลู โดยได้วางจำหน่ายในญี่ปุ่นเป็นรุ่นพิเศษที่ให้สั่งซื้อทางจดหมายเท่านั้น[9] โดยได้เพิ่มเติมงานศิลป์ในเกมและบทพูดใหม่ ๆ[42] ทาจิริเปิดเผยโปเกมอนพิเศษชื่อ มิว ที่ซ่อนไว้ในเกมเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความท้าทายให้กับเกม โดยเขาเชื่อว่า "สร้างข่าวลือและตำนานให้กับเกม" และ "ทำให้ความน่าสนใจในเกมยังคงอยู่"[31] ชิเงกิ โมริโมโตะเพิ่มมิวลงในเกมเพื่อเป็นเรื่องล้อเล่นภายในและไม่ตั้งใจจะเปิดเผยสู่ลูกค้า[43] ต่อมา นินเท็นโดตัดสินใจแจกมิวผ่านกิจกรรมส่งเสริมกิจกรรมหนึ่งของนินเท็นโด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2003 มีกลิตช์อันหนึ่งที่คนทั่วไปรู้จัก และใครก็ตามสามารถใช้กลิตช์นี้เพื่อให้ได้มิวมา[44]
ในช่วงปรับวิดีโอเกมให้เข้ากับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ ทีมเล็ก ๆ ทีมหนึ่งนำโดยฮิโระ นะกะมุระ ลงรายละเอียดที่โปเกมอนแต่ละตัว และเปลี่ยนชื่อโปเกมอนให้กับลูกค้าฝั่งตะวันตกตามลักษณะรูปร่างและลักษณะพิเศษหลังจากนินเท็นโดอนุมัติ โดยในระหว่างนั้น นินเท็นโดทำเครื่องหมายการค้าชื่อโปเกมอนทั้งหมด 151 ตัวเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเอกลักษณ์กับแฟรนไชส์[45] ในระหว่างการแปลชื่อนั้นพบชัดเจนว่า การเปลี่ยนข้อความภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษง่าย ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ เกมจะต้องโปรแกรมใหม่ตั้งแต่ต้นเนื่องจากรหัสต้นฉบับมีสถานะที่ไม่เสถียร เป็นผลข้างเคียงจากการพัฒนาที่ยาวนานผิดปกติ[37] ดังนั้น เกมจึงยึดตามเวอร์ชัน บลู ภาษาญี่ปุ่นที่เป็นรุ่นใหม่กว่า โดยออกแบบโปรแกรมและงานศิลป์ใหม่ แต่ใช้โปเกมอนชุดเดิมกับตลับเกมเวอร์ชัน เรด และ กรีน ภาษาญี่ปุ่น ตามลำดับ[9]
ขณะที่เวอร์ชัน เรด และ บลู ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วกำลังเตรียมตัววางจำหน่าย นินเท็นโดจ่ายเงินมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมเกม เกรงว่าเกมชุดนี้จะไม่ดึงดูดเด็ก ๆ ชาวอเมริกัน[46] ทีมที่ปรับเกมให้เข้ากับชาวตะวันตกเตือนว่า "สัตว์ประหลาดที่น่ารัก" อาจไม่เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าชาวอเมริกัน และแนะนำให้ออกแบบใหม่และ "เสริมความแข็งแกร่ง" ให้โปเกมอนแทน ฮิโระชิ ยะมะอุชิ ประธานบริษัทนินเท็นโดในขณะนั้นปฏิเสธและมองว่าการตอบรับของชาวอเมริกันเป็นสิ่งที่น่าท้าทายที่ต้องเผชิญ[47] แม้จะมีอุปสรรคเช่นนี้ ในที่สุด ภาคเรดและบลูที่ปรับโปรแกรมใหม่โดยการออกแบบโปเกมอนใหม่ได้วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือ หลังภาคเรดและกรีนวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาสองปีครึ่ง[48] เกมได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากลูกค้าต่างชาติและโปเกมอนได้กลายเป็นแฟรนไชส์ที่ทำกำไรได้ดีในอเมริกา[47]
ดนตรี
[แก้]จุนอิจิ มาสึดะ แต่งดนตรีประกอบที่บ้านของตน[49] ด้วยคอมพิวเตอร์รุ่นคอมโมดอร์ อามิกา ที่มีเพลย์แบ็กแบบการกล้ำรหัสของพัลส์ และแปลงเข้ากับเกมบอยด้วยโปรแกรมที่เขาเขียนเอง[50]
การตอบรับและสิ่งสืบทอด
[แก้]การตอบรับ | ||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
โปเกมอนเรดและบลูเป็นต้นแบบของเกมที่กลายเป็นแฟรนไชส์ระดับพันล้านดอลลาร์[56] ก่อนปี ค.ศ. 1997 ภาคเรด กรีน และบลู รวมกันขายได้ 10.23 ล้านตลับในประเทศญี่ปุ่น[57] ก่อนเกมจะเลิกจำหน่าย เกมขายได้รวมกัน 9.85 ล้านตลับในสหรัฐอเมริกา[58] ขณะที่ขายได้อีก 3.56 ล้านตลับในสหราชอาณาจักร[ต้องการอ้างอิง] เกมขายได้ทั่วโลกเกิน 31 ล้านหน่วย[59][60] ในปี ค.ศ. 2009 ไอจีเอ็นจัดให้โปเกมอนภาคเรดและบลูให้เป็น "เกม RPG บนเกมบอยที่ขายดีที่สุด" และ "เกม RPG ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล"[61]
เกมได้รับคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ในด้านบวก มีคะแนนสะสมจากเกมแรงกิงส์อยู่ที่ 88%[51] เกมได้รับคำยกย่องเป็นพิเศษในระบบผู้เล่นหลายคน ได้แก่ การแลกเปลี่ยนและต่อสู้กับโปเกมอนของคนอื่นได้ เครก แฮร์ริสจากไอจีเอ็นให้คะแนนเกมที่ 10 เต็ม 10 กล่าวว่า "แม้ว่าคุณจะทำภารกิจเสร็จ คุณอาจจะยังมีโปกมอนในเกมไม่ครบทุกตัว ความท้าทายที่ว่าให้จับให้ครบทุกตัวเป็นสิ่งดึงดูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกมอย่างแท้จริง" เขายังให้ความเห็นเกี่ยวกับความนิยมของเกม โดยเฉพาะในหมู่เด็ก ๆ ว่าเป็น "เกมที่ชวนให้คลั่ง" (craze)[8] ปีเตอร์ บาร์โทโลว์ จากเกมสปอต ให้คะแนนเกม 8.8 เต็ม 10 ติในเรื่องกราฟิกส์และเสียงว่าธรรมดา แต่เป็นเพียงข้อเสียข้อเดียวในเกม เขาย่กย่องถึงคุณค่าของการกลับมาเล่นซ้ำ เนื่องจากการที่เกมสามารถปรับแต่งได้และเกมมีความหลากหลาย และกล่าวถึงความดึงดูดในระดับสากลว่า "ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกที่น่ากอด โปเกมอนเป็นเกมสวมบทบาทจริงจังและมีเอกลักษณ์ ที่มีความลึกซึ้ง และเสริมด้วยระบบหลายผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม ในฐานะเกมสวมบทบาท เกมนี้ชวนให้ผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยเล่นแนวนี้ สามารถมาเล่นให้สนุกได้ง่าย แต่มันจะสร้างความเพลิดเพลินให้แฟนเกมตัวจริงเช่นกัน พูดง่าย ๆ คือมันเป็นเกมของเกมบอยที่ดีที่สุดจนถึงทุกวันนี้"[13]
ความสำเร็จของเกมมาประสบการณ์แบบใหม่ในการเล่นเกมมากกว่าเอฟเฟกต์ภาพและเสียง เอกสารที่โรงเรียนธุรกิจโคลัมเบียตีพิมพ์ระบุว่าเด็ก ๆ ทั้งชาวอเมริกันและญีปุ่นชอบระบบเกมมากกว่าเอฟเฟต์พิเศษเกี่ยวกับภาพหรือเสียง ในเกมชุดโปเกมอน หากไม่มีเอฟเฟกต์ปลอมเช่นนี้ กล่าวกันว่าจะยกระดับจินตนาการและความสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ได้[62] หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนให้ความเห็นว่า "ด้วยประเด็นเกี่ยวกับเกมเอนจินและการกำหนดตำแหน่งรายละเอียดภาพ มีบางอย่างที่สดชื่นเกี่ยวกับระบบเกมขั้นสุดยอดที่ทำให้คุณเลิกสนใจกราฟิกส์ 8 บิตได้เลย"[63]
เว็บไซต์วิดีโอเกม วันอัปดอตคอม สร้างรายชื่อ "5 เกมยอดเยี่ยมที่'มาทีหลัง'" แสดงชื่อเกมที่ "พิสูจน์ถึงเครื่องเกมที่อาจขายไม่ออก" และเป็นหนึ่งในเกมสุดท้ายที่ออกกับเครื่องเล่นนั้น เมื่อครั้งที่เกมออกจำหน่ายบนเครื่องเกมบอยหลายเกมในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 เรดและบลูอยู่อันดับที่หนึ่ง[33] และถือเป็น "อาวุธลับ" ของนินเท็นโด นินเท็นโดเพาเวอร์จัดอันดับให้ภาคเรดและบลูเป็นวิดีโอเกมที่ดีที่สุดอันดับที่สามของเครื่องเล่นเกมบอยและเกมบอยคัลเลอร์ โดยกล่าวว่าบางอย่างในเกมจะทำให้พวกเขาเล่นอย่างต่อเนื่องจนพวกเขาจับโปเกมอนได้ทุกตัว[64] เบ็น รีฟส์ จากนิตยสารเกมอินฟอร์เมอร์เรียกพวกเขา (รวมถึงโปเกมอน เยลโลว์ โกลด์ ซิลเวอร์ และคริสตัล) ให้เป็นเกมบอยที่ดีที่สุดอันดับสองและกล่าวว่าเกมมีความลึกมากกว่าที่เห็น[65] นิตยสารทางการของนินเท็นโดตั้งให้เกมเป็นหนึ่งในเกมของนินเท็นโดที่ดีที่สุดตลอดกาล อยู่อันดับที่ 52 ในรายชื่อเกม 100 เกมยอดเยี่ยม[66]
ภาคเรดและบลูอยู่อันดับที่ 72 ในรายชื่อ 100 เกมยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดโดยไอจีเอ็นเมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยนักวิจารณ์มองว่าเกมทั้งคู่ "ริเริ่มการปฏิวัติวิดีโอเกม" และยกย่องการออกแบบเกมที่มีรายละเอียดลึกและกลยุทธ์ที่ซับซ้อน และการแลกเปลี่ยนกันระหว่างเกมด้วย[67] สองปีถัดมา เกมขึ้นไปอยู่อันดับที่ 70 ในรายชื่อที่ปรับปรุงแล้ว เนื่องจากสิ่งสืบทอดในเกมได้บันดาลให้เกิดวิดีโอเกมภาคต่อ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และสินค้าอื่น ๆ มากมาย เป็นการหยั่งรากวัฒนธรรมสมัยนิยมอย่างแข็งแกร่ง[68] ในปี ค.ศ. 2007 เรดและบลูถูกจัดอยู่อันดับที่ 37 และนักวิจารณ์กล่าวถึงความยืนยาวของเกมว่า
สำหรับทุกเกมที่ออกมาในทศวรรษนี้ ทั้งหมดเริ่มต้นตรงนี้ที่เกมโปเกมอนเรด/บลู การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์อย่างการสำรวจ การฝึกโปเกมอน การต่อสู้ และการแลกเปลี่ยน ทำให้เกิดเป็นเกมที่มีรายละเอียดลึกซึ้งกว่าที่เกมปรากฏให้เห็นครั้งแรก และเป็นเกมที่บังคับให้ผู้เล่นเข้าสังคมกับคนอื่นเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์ที่แท้จริงที่เกมจะนำเสนอได้ เกมมีความยาว ชวนให้จดจ่อ และชวนให้เสพติดแบบที่เกมที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะทำให้เสพติดได้ พูดถึงสิ่งที่จะทำกับเกมออกมาเถอะ แต่มีแฟรนไชส์เกมไม่มากที่สามารถอ้างได้ว่าเกมจะได้รับความนิยมหลังจากเกมออกวางแผงขายเป็นเวลาสิบปีได้[35]
เกมได้รับเครดิตในเรื่องการเริ่มเปิดทางสู่การเป็นเกมชุดที่ประสบความสำเร็จระดับหลายพันล้านดอลลาร์[33] หลังภาคเรดและบลูออกจำหน่ายห้าปี นินเท็นโดเฉลิมฉลอง "โปเกโมนิเวอร์แซรี" (Pokémoniversary) จอร์จ แฮร์ริสัน รองประธานอาวุโสของฝ่ายสื่อสารและการตลาดของนินเท็นโดอเมริกา กล่าวว่า "อัญมณีเลอค่าเหล่านั้น [โปเกมอนเรดและบลู] ได้พัฒนาเป็นภาครูบีและแซฟไฟร์ การออกจำหน่ายเกมโปเกมอนพินบอลเริ่มการเดินทางโปเกมอนครั้งใหม่ที่จะเปิดตัวในไม่กี่เดือนที่จะมาถึง"[69] เกมชุดนี้ขายได้มากกว่า 300 ล้านเกมแล้ว ทั้งหมดเป็นผลมาจากโปเกมอนเรดและบลูประสบความสำเร็จอย่างมาก[33][70]
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 โปรแกรมเมอร์นิรนามชาวออสเตรเลียคนหนึ่งเผยแพร่รายการทวิตช์เล่นโปเกมอน "การทดลองทางสื่อสังคม" บนเว็บไซต์วิดีโอสตรีมมิง ทวิตช์ โครงการนี้เป็นความพยายามแบบคราวด์ซอร์ซิง (crowdsourcing) เล่นโปเกมอนภาคเรดรุ่นปรับปรุงโดยพิมพ์ชุดคำสั่งลงไปในช่องแชต โดยมีผู้ชมจำนวน 50,000 คนในเวลาเดียวกัน ผลลัพธ์ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ "การชมรถชนกันแบบภาพเคลื่อนไหวช้า"[71] เกมเล่นจบในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ด้วยการควบคุมเกมจากผู้ใช้หลายคนแบบต่อเนื่อง ใช้เวลาทั้งหมด 390 ชั่วโมง[72]
พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ สีน้ำเงิน
[แก้]พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ สีน้ำเงิน (ญี่ปุ่น: ポケットモンスター青; โรมาจิ: Poketto Monsutā Ao) เป็นเกมเวอร์ชันที่ 3 ของโปเกมอน ในครั้งแรกนั้นได้ถูกวางจำหน่ายผ่านการสั่งซื้อทางจดหมาย[9] เฉพาะสมาชิกของ โคโรโคโรคอมมิค ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1996 ภายหลังได้วางจำหน่ายทั่วไป เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1999[1] ตัวเกมได้รับการปรับปรุงทั้งงานศิลป์ในเกม และบทสนทนาใหม่[42] โค้ด บทของเกม และงานศิลป์ของภาคนี้เคยใช้เมื่อครั้งจำหน่ายเวอร์ชันสีแดงและสีเขียว โดยปกเกมของเวอร์ชันนี้คือ คาเม็กซ์ ทั้งนี้เวอร์ชันสีน้ำเงินมีโปเกมอนทั้งหมดยกเว้นโปเกมอนที่พบในเวอร์ชันสีแดง และ สีเขียวจำนวนหนึ่ง ทำให้โปเกมอนบางตัวพบได้เฉพาะในภาคดั้งเดิมเท่านั้น
พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ พิคาชู
[แก้]พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ พิคาชู | |
---|---|
ปกเกมพ็อกเก็ตมอนสเตอร์ พิคาชู ในโซนอเมริกาเหนือ แสดงภาพโปเกมอนพิคาชู | |
ผู้พัฒนา | เกมฟรีก |
ผู้จัดจำหน่าย | นินเท็นโด |
กำกับ | ซาโตชิ ทาจิริ |
อำนวยการผลิต | ชิเงรุ มิยาโมโตะ ทาเกฮิโระ อิซุซิ ทาเคชิ คาวากุจิ สึเนคาซึ อิชิฮาระ |
ออกแบบ | |
ศิลปิน | เค็น ซุงิโมริ |
เขียนบท | ซาโตชิ ทาจิริ โทชิโนบุ มัตสึมิยะ |
แต่งเพลง | จุนอิจิ มาสึดะ |
ชุด | โปเกมอน |
เครื่องเล่น | เกมบอย เกมบอยคัลเลอร์ |
วางจำหน่าย | |
แนว | วิดีโอเกมเล่นตามบทบาท |
รูปแบบ | ผู้เล่นคนเดียว, ผู้เล่นหลายคน |
พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ พิคาชู (ญี่ปุ่น: ポケットモンスター ピカチュウ; โรมาจิ: Poketto Monsutā Pikachū) หรือ โปเกมอน เยลโลว์ สเปเชียลพิคาชูอีดิชัน (Pokémon Yellow: Special Pikachu Edition) เป็นเกมเวอร์ชันที่ 4 ของโปเกมอน โดยได้ปรับปรุงของเกมเวอร์ชันสีแดง, สีเขียว และ สีน้ำเงิน วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1998 ในประเทศญี่ปุ่น บนแพล็ตฟอร์มเกมบอย[73][74]และวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือและยุโรปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1999[75] และ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2000[76] ตามลำดับ โดยในเวอร์ชันอเมริกาเหนือและยุโรปถูกวางจำหน่ายในรูปแบบแพล็ตฟอร์มเกมบอยคัลเลอร์ ด้านตัวเกมถูกออกแบบให้อ้างอิงจากพ็อกเก็ตมอนสเตอร์ โดยตัวละครผู้เล่นได้รับพิคาชูเป็นโปเกมอนตัวเริ่มต้นของเกมพร้อมทั้งได้โปเกมอนเริ่มต้นทั้ง 3 ตัวอย่าง ฟุชิกิดาเนะ, ฮิโตคาเงะ และ เซนิกาเมะ ตามลำดับเนื้อหา และตัวละครคู่แข่งจะเริ่มต้นด้วยอีวุย รวมทั้งมีตัวละครที่ปรากฏในอนิเมะ เช่น แก๊งร็อกเก็ตทั้ง 3 ซึ่งมี มุซาชิ ,โคจิโร่ และเนียซ ปรากฏตัว เป็นต้น และมีโปเกมอนบางตัวที่ไม่สามารถหาหรือพัฒนาร่างได้ในเวอร์ชันทั้ง 3 เวอร์ชันอีกด้วย
เวอร์ชวลคอนโซล
[แก้]เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 นินเท็นโดประกาศในการนำเสนอนินเท็นโดไดเรกต์ว่าเกมโปเกมอนรุ่นเก่าได้วางจำหน่ายในบริการเวอร์ชวลคอนโซล (Virtual Console) ของนินเท็นโด 3ดีเอส เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปีที่วางจำหน่ายเกมในญี่ปุ่น โดยเกมดังกล่าวเป็นเกมแรกในเวอร์ชวลคอนโซลที่จำลองการทำงานของสายเกมลิงก์เคเบิลให้สามารถแลกเปลี่ยนและต่อสู้กันระหว่างเกมได้[77] แต่ละภูมิภาคจะได้รับเกมเฉพาะภาคที่เคยวางจำหน่ายในภูมิภาคนั้นเท่านั้น อย่างเช่น เวอร์ชันกรีน วางจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น[78] เกมรุ่นนี้สามารถย้ายโปเกมอนไปยังเกมหลักตั้งแต่ โปเกมอน ซัน และ มูน ผ่านทางโปรแกรมประยุกต์ โปเกมอนแบงค์ได้ด้วย[79]
นอกจากนี้ยังมีสินค้าพิเศษที่พ่วงกับนินเทนโด 2ดีเอส กับแต่ละคอนโซลที่มีสีตามชื่อเวอร์ชัน วางจำหน่ายในญี่ปุ่น ยุโรป และออสเตรเลียเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016[80] และในอเมริกาเหนือมีเครื่องนิวนินเท็นโด 3ดีเอส ตัวเครื่องเป็นลายเดียวกับภาพกล่องเกมเวอร์ชัน เรด และ บลู[81]
ก่อนวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยอดขายรวมของเกมภาคที่จำหน่ายใหม่อีกครั้งรวมกันแตะ 1.5 ล้านก็อปปี้ ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งขายได้ในอเมริกาเหนือ[82]
ในรูปแบบอื่น
[แก้]- โปเกมอน ออริจินส์ – อนิเมะทางโทรทัศน์ตอนพิเศษ ที่อิงจากเกมต้นฉบับ
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ เป็นที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ ญี่ปุ่น: ポケットモンスター 赤・緑; โรมาจิ: Poketto Monsutā Aka and Midori; ทับศัพท์: พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ อากะ และ มิโดริ
- ↑ ญี่ปุ่น: ポケットモンスター 赤; โรมาจิ: Poketto Monsutā Aka; ทับศัพท์: พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ อากะ
- ↑ ญี่ปุ่น: ポケットモンスター 緑; โรมาจิ: Poketto Monsutā Midori; ทับศัพท์: พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ มิโดริ
- ↑ ญี่ปุ่น: ポケットモンスター青; โรมาจิ: Poketto Monsutā Ao; ทับศัพท์: พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ อาโอะ
- ↑ ญี่ปุ่น: ポケットモンスター ピカチュウ; โรมาจิ: Poketto Monsutā Pikachū
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "ポケットモンスター 赤・緑". The Pokémon Company. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "ポケットモンスター赤・緑". Nintendo. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ 3.0 3.1 "ポケットモンスター 青". The Pokémon Company. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ 4.0 4.1 "ポケットモンスター青". Nintendo. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Game Boy's Pokémon Unleashed on September 28!". Redmond, Washington: Nintendo. September 28, 1998. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 1999. สืบค้นเมื่อ 29 March 2014.
- ↑ "Pokémon Red Version". Nintendo of Europe. สืบค้นเมื่อ 21 February 2019.
- ↑ "Pokémon Blue Version". Nintendo of Europe. สืบค้นเมื่อ 21 February 2019.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 Harris, Craig (1999-06-23). "Pokemon Red Version Review". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-22. สืบค้นเมื่อ 2008-06-26.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly (124): 216.
- ↑ Game Freak (1997-12-09). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 8.
- ↑ 11.0 11.1 Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 17.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 10.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 Bartholow, Peter (2000-01-28). "GameSpot review". GameSpot. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-06. สืบค้นเมื่อ 2008-06-26.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 21.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 7.
- ↑ 16.0 16.1 Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 36.
- ↑ "nintendo.com.au – GBC – Frequently Asked Questions". Nintendo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-22. สืบค้นเมื่อ 2008-10-07.
- ↑ "Game Boy Game Pak Troubleshooting – Specific Games". Nintendo of America Inc. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
MissingNO is a programming quirk, and not a real part of the game
- ↑ "Pokemon Gold and Silver Strategy Guide: Trading". IGN. สืบค้นเมื่อ 2008-06-27.
- ↑ Gerstmann, Jeff (2000-02-29). "Pokemon Stadium for Nintendo 64 Review". GameSpot. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ Villoria, Gerald (2001-03-26). "Pokemon Stadium 2 for Nintendo 64 Review". GameSpot. p. 2. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ Harris, Craig (2003-03-17). "IGN: Pokemon Ruby Version Review". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-22. สืบค้นเมื่อ 2008-10-25.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 20.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 2.
- ↑ Game Freak (1998-09-30). Pokémon Red and Blue, Instruction manual. Nintendo. p. 3.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 113. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-22. สืบค้นเมื่อ 2008-10-24.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 67. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-02. สืบค้นเมื่อ 2008-06-27.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 99. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-22. สืบค้นเมื่อ 2009-02-04.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 165. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-22. สืบค้นเมื่อ 2009-02-04.
- ↑ Plaza, Amadeo (2006-02-06). "A Salute to Japanese Game Designers". Amped IGO. p. 2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-07-13. สืบค้นเมื่อ 2006-06-25.
- ↑ 31.0 31.1 31.2 31.3 Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-12. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ Larimer, Time (1999-11-22). "The Ultimate Game Freak". TIME Asia. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-12. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ 33.0 33.1 33.2 33.3 1UP Staff. "Best Games to Come Out Late in a System's Life". 1UP. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-26. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ "Pokémon interview" (ภาษาญี่ปุ่น). Nintendo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-19. สืบค้นเมื่อ 2009-06-06.
- ↑ 35.0 35.1 "IGN's Top 100 Games 2007 | 37 Pokemon Blue Version". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-22. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ Staff. "2. 一新されたポケモンの世界". Nintendo.com (ภาษาญี่ปุ่น). Nintendo. p. 2. สืบค้นเมื่อ 2010-09-10.
- ↑ 37.0 37.1 Kohler, Chris (2004). Power-Up: How Japanese Video Games Gave the World an Extra Life (1st ed.). BradyGames. pp. 237–250. ISBN 0-7440-0424-1.
- ↑ Masuda, Junichi (2009-02-28). "HIDDEN POWER of Masuda: No. 125". Game Freak. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
- ↑ Staff (2004-02-18). 写真で綴るレベルX~完全保存版! (ภาษาญี่ปุ่น). AllAbout.co.jp. สืบค้นเมื่อ 2010-05-21.
- ↑ Tomisawa, Akihito (August 2000). ゲームフリーク 遊びの世界標準を塗り替えるクリエイティブ集団 (ภาษาญี่ปุ่น). ISBN 4-8401-0118-3.
- ↑ Nutt, Christian (2009-04-03). "The Art of Balance: Pokémon's Masuda on Complexity and Simplicity". Gamasutra. สืบค้นเมื่อ 2009-06-09.
- ↑ 42.0 42.1 Chen, Charlotte (December 1999). "Pokémon Report". Tips & Tricks. Larry Flynt Publications: 111.
- ↑ "Iwata Asks – Pokémon HeartGold Version & SoulSilver Version". Nintendo.com. สืบค้นเมื่อ 2012-10-16.
- ↑ DeVries, Jack (2008-11-24). "IGN: Pokemon Report: OMG Hacks". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-06. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
- ↑ Staff (November 1999). "What's the Deal with Pokémon?". Electronic Gaming Monthly (124): 172.
- ↑ Tobin, Joseph Jay (2004). Pikachu's Global Adventure: The Rise and Fall of Pokémon. Duke University Press. p. 66. ISBN 0-8223-3287-6.
- ↑ 47.0 47.1 Ashcraft, Brain (2009-05-18). "Pokemon Could Have Been Muscular Monsters". Kotaku. สืบค้นเมื่อ 2009-06-26.
- ↑ IGN Staff. "Guides: Pokemon: Blue and Red". IGN. p. 62. สืบค้นเมื่อ 2008-10-24.
- ↑ "GB Pokémon Complete Sound CD". VGMdb. สืบค้นเมื่อ 2015-07-07.
- ↑ Hanson, Ben (May 13, 2014). "Pokémon's Music Master: The Man Behind The Catchiest Songs". Game Informer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 13, 2014.
- ↑ 51.0 51.1 51.2 "Pokemon Red Version for Game Boy". GameRankings. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-05. สืบค้นเมื่อ 2019-02-13.
- ↑ "Pokemon Blue Version for Game Boy". GameRankings. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-09. สืบค้นเมื่อ 2019-02-13.
- ↑ McCaul, Scott. "Pokemon Blue Version -Review". Allgame. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 14, 2014. สืบค้นเมื่อ December 4, 2012.
- ↑ "ポケットモンスター 赤/緑 まとめ [ゲームボーイ]". Famitsu (ภาษาญี่ปุ่น). Enterbrain, Inc.
- ↑ "Now Playing: Pokémon". Nintendo Power. 113: 112. October 1998.
- ↑ "Pokemon Franchise Approaches 150 Million Games Sold". Nintendo. PR Newswire. 4 October 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-26. สืบค้นเมื่อ 2021-08-12.
- ↑ https://web.archive.org/web/20071213230402/http://www.the-magicbox.com/topten2.htm
- ↑ "US Platinum Videogame Chart". The Magic Box. 2007-12-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-01-06. สืบค้นเมื่อ 2008-08-03.
- ↑ "50 Most Popular Video Games of All Time". 247wallst.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-05-21.
- ↑ "All-time best selling console games worldwide 2018 | Statistic". Statista (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-05-21.
- ↑ DeVries, Jack (2009-01-16). "IGN: Pokemon Report: World Records Edition". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-30. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
- ↑ Safier, Joshua; Nakaya, Sumie (2000-02-07). "Pokemania: Secrets Behind the International Phenomenon". Columbia Business School. สืบค้นเมื่อ 2011-08-05.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Bodle, Andy and Greg Howson (1999-09-30). "Monsters to the rescue". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2009-01-15.
- ↑ "Nintendo Power – The 20th Anniversary Issue!" (Magazine). Nintendo Power. 231 (231). San Francisco, California: Future US. August 2008: 72.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - ↑ Reeves, Ben (2011-06-24). "The 25 Best Game Boy Games Of All Time". Game Informer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-11. สืบค้นเมื่อ 2013-12-06.
- ↑ East, Tom (2009-03-02). "Feature: 100 Best Nintendo Games". Official Nintendo Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-29. สืบค้นเมื่อ 2009-03-18.
- ↑ Staff (2003-04-30). "The Top 100: 71–80". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-10. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ "IGN's Top 100 Games 061-070". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-09. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ Harris, Craig (2003-08-29). "IGN: Nintendo Celebrates Pokemoniversary". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-17. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15.
- ↑ Makuch, Eddie (2017-11-27). "Pokemon Game Sales Pass 300 Million Units". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-12-31.
- ↑ "Twitch plays Pokémon: The largest 'massively multiplayer' Pokémon game is beautiful chaos". The Independent. สืบค้นเมื่อ 2015-02-16.
- ↑ "Twitch Plays Pokemon conquers Elite Four, beating game after 390 hours". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ 2015-02-16.
- ↑ "ポケットモンスター ピカチュウ". The Pokémon Company. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "ポケットモンスター ピカチュウ". Nintendo. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Pokémon™ Yellow Special Pikachu Edition". The Pokémon Company International. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Pokémon™ Yellow Special Pikachu Edition". The Pokémon Company International. สืบค้นเมื่อ 2013-03-13.
- ↑ "Nintendo Direct - 11.12.2015". Nintendo. 2015-11-12. สืบค้นเมื่อ 2015-11-14.
- ↑ "Nintendo Direct 2015.5.31 プレゼンテーション映像". Nintendo. 2015-11-12. สืบค้นเมื่อ 2015-11-14.
- ↑ Conditt, Jessica. "Pokemon Sun And Moon Hit The Nintendo 3DS This Holiday". Engadget. สืบค้นเมื่อ 26 February 2016.
- ↑ Kamen, Matt (12 January 2016). "Pokémon marks 20th birthday with retro 2DS bundles". สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
- ↑ Farokhmanesh, Megan (12 January 2016). "Pokémon celebrates its 20th anniversary with a New Nintendo 3DS bundle this February". Polygon. สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
- ↑ "Financial Results Briefing for Fiscal Year Ended March 2016". Nintendo. April 28, 2016. p. 3. สืบค้นเมื่อ May 1, 2016.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ส เรด และ กรีน – นินเท็นโด (ญี่ปุ่น)
- พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ส บลู – นินเท็นโด (ญี่ปุ่น)
- พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ส เยลโลว์ – นินเท็นโด (ญี่ปุ่น)