ข้ามไปเนื้อหา

มาโกะ โคมูโระ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มาโกะ โคมูโระ
มาโกะเมื่อวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2558
เกิดเจ้าหญิงมาโกะแห่งอากิชิโนะ
23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 (33 ปี)
โรงพยาบาลสำนักพระราชวัง โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
การศึกษามหาวิทยาลัยนานาชาติคริสเตียน (ศศ.บ.)
มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ (ศศ.ม.)
อาชีพนักวิจัย
คู่สมรสเค โคมูโระ (พ.ศ. 2564–ปัจจุบัน)
บิดามารดาเจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ
เจ้าหญิงคิโกะ พระชายาฯ

มาโกะ โคมูโระ (ญี่ปุ่น: 小室 眞子โรมาจิKomuro Mako; ประสูติ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534) หรือพระนามเดิม เจ้าหญิงมาโกะแห่งอากิชิโนะ[1][2] (ญี่ปุ่น: 眞子内親王โรมาจิMako Naishinnō) เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในเจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ กับเจ้าหญิงคิโกะ พระชายาฯ เป็นพระภาติยะในสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เคยทรงงานเป็นนักวิจัยในพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยโตเกียว[3] ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เพื่อเสกสมรสกับเค โคมูโระ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พระประวัติ

[แก้]

มาโกะประสูติเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 ณ โรงพยาบาลสำนักพระราชวัง กรุงโตเกียว เป็นพระบุตรพระองค์ใหญ่จากทั้งหมดสามพระองค์ในเจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ กับเจ้าหญิงคิโกะ พระชายาฯ มีพระขนิษฐาและพระอนุชาคือเจ้าหญิงคาโกะและเจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะ ตามลำดับ[4]

มาโกะสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนกากูชูอิงอันเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ในปี พ.ศ. 2553 ทรงศึกษาต่อด้านภาษาอังกฤษเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ณ วิทยาลัยทรีนิตีในดับลิน ประเทศไอร์แลนด์[5] ขณะที่พระองค์ฝึกงาน ทรงปฏิสันถารอย่างไม่เป็นทางการกับแมรี แมคาลิส (Mary McAleese) ประธานาธิบดีแห่งไอร์แลนด์ และทรงท่องเที่ยวในประเทศไอร์แลนด์เหนือ[6] ต่อมาทรงเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาปริญญาตรีสาขามรดกด้านศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยนานาชาติคริสเตียน โตเกียว จนสำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557[7][8] นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับอนุญาตให้ขับรถในญี่ปุ่นและทรงมีใบอนุญาตขับขี่ตั้งแต่ยังไม่จบปริญญาตรี[9][10][11] ต่อมาวันที่ 17 กันยายนปีเดียวกันนั้น ทรงเข้าศึกษาสาขาพิพิธภัณฑ์ศึกษา มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ สหราชอาณาจักรเป็นระยะเวลาหนึ่งปี จนสำเร็จการศึกษาปริญญาโทสาขาดังกล่าวในปี พ.ศ. 2559[12] ก่อนหน้านี้ ทรงศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลป์วิทยา มหาวิทยาลัยเอดินบะระ ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 รวมเป็นระยะเวลา 9 เดือนในโปรแกรมนักศึกษาแลกเปลี่ยน​วัฒนธรรม[13][14][15][16]

ศูนย์การแพทย์โตเกียวเอ็นเอ็นที (NTT Tokyo Medical Center) วินิจฉัยว่ามาโกะประชวรด้วยโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-traumatic stress disorder) ตั้งแต่ยังทรงศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น[17][18][19][20]

พระกรณียกิจ

[แก้]
เจ้าหญิงมาโกะขณะเสด็จเยือนประเทศภูฏานเมื่อ พ.ศ. 2560

ในปี พ.ศ. 2546 เจ้าหญิงมาโกะและเจ้าหญิงคาโกะตามเสด็จพระบิดาและมารดาเสด็จเยือนประเทศไทยด้วยพระบิดาเป็นพระสหายของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งถือเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศครั้งแรกของเจ้าหญิงมาโกะและเจ้าหญิงคาโกะ[21]

ในปี พ.ศ. 2549 เจ้าชายฟูมิฮิโตะและเจ้าหญิงมาโกะประกอบศาสนกิจที่ศาลเจ้าอิเซะ[22] ต่อมาพระองค์ตามเสด็จพระบิดามารดาและพระขนิษฐามาประเทศไทยในวันที่ 7-13 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และทรงร่วมวิจัยปักษีวิทยาของพระบิดา[23]

วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554 พระองค์ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นที่ 1 และทรงปฏิบัติพระกรณียกิจในฐานะพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่[24] เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 พระองค์เป็นอาสาสมัครปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 โดยไม่มีพระประสงค์แสดงพระองค์ว่าเป็นเจ้านาย[25]

เจ้าหญิงมาโกะสนพระทัยในกิจการของผู้พิการทางการได้ยินเช่นเดียวกับเจ้าหญิงคิโกะ พระมารดา ทั้งนี้พระองค์สามารถสื่อสารด้วยภาษามือญี่ปุ่นได้[26]

ชีวิตส่วนพระองค์

[แก้]
เจ้าหญิงมาโกะขณะเสด็จเยือนประเทศเอลซัลวาดอร์เมื่อ พ.ศ. 2558
เจ้าหญิงมาโกะขณะเสด็จเยือนประเทศฮอนดูรัสเมื่อ พ.ศ. 2558

ความสนพระทัย

[แก้]

ระหว่างที่ยังทรงศึกษาในโรงเรียนกากูชูอิงนั้น ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 พระองค์ได้เสด็จไปประเทศออสเตรียจากโครงการร่วมบ้านกับคนท้องถิ่น (homestay program) ที่ได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียน และประทับที่นั้นเป็นเวลาสองสัปดาห์ ทรงประทับในบ้านของชายออสเตรียในเวียนนาซึ่งเป็นสหายของทัตสึฮิโกะ คาวาชิมะ พระอัยกาฝ่ายพระมารดา ทั้งนี้ทรงสนพระทัยด้านศิลปะและวัฒนธรรม ทรงเข้าชมพิพิธภัณฑ์ อาสนวิหารนักบุญสเทเฟน และพระราชวังเชินบรุนน์[27][28]

พระองค์เคยหาประสบการณ์พิเศษจากการทรงงานในพิพิธภัณฑ์โคเวนทรีระหว่างที่ยังทรงศึกษาในมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ สหราชอาณาจักร[29] ปัจจุบันเจ้าหญิงมาโกะทรงงานเป็นนักวิจัยในพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยโตเกียว[30]

ความนิยม

[แก้]

เจ้าหญิงมาโกะเป็นเน็ตไอดอลมาตั้งแต่ พ.ศ. 2547 หลังมีพระฉายาลักษณ์ขณะทรงฉลองพระองค์นักเรียนแบบกะลาสีออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ต่อมาพระฉายาลักษณ์ดังกล่าวและวีดิโอที่จัดทำโดยแฟนอาร์ตที่ชื่นชมเจ้าหญิงคาโกะพระขนิษฐา ถูกอัปโหลดลงเว็บไซต์นิโกนิโกโดงะ (ญี่ปุ่น: ニコニコ動画) อันเป็นเว็บไซต์ที่แบ่งปันวีดิโอที่ชนนิยม ผลคือมีผู้รับชมกว่า 340,000 ครั้ง และมีผู้แสดงความเห็น 86,000 ข้อความ ส่วนสำนักพระราชวังอิมพีเรียลได้แสดงความเห็นว่าไม่ทราบว่าจะจัดการกับปรากฏการณ์นี้อย่างไร เพราะพวกเขาไม่เห็นร่องรอยแห่งการอาฆาตมาดร้ายหรือดูหมิ่นพระราชวงศ์[31]

เสกสมรส

[แก้]

เจ้าหญิงมาโกะทรงคบหากับเค โคมูโระ (ญี่ปุ่น: 小室圭โรมาจิKomuro Kei) ชายสามัญชนผู้เคยศึกษาในมหาวิทยาลัยนานาชาติคริสเตียนด้วยกัน[32][33] ทั้งสองพบกันครั้งแรก ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านชิบูยะ[21] โคมูโระเคยทำงานเป็นนายธนาคาร[21] ขณะนั้นกำลังศึกษาวิชาเอกกฎหมาย สถาบันมหาบัณฑิตยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยฮิตตสึบาชิ[34] เจ้าชายฟูมิฮิโตะและโคมูโระปฏิเสธการสืบค้นปูมหลังโดยสำนักพระราชวังก่อนพระราชพิธีหมั้น หลังจากนั้นจึงเกิดการขุดคุ้ยเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโคมูโระขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอื้อฉาว เช่น ชีวิตสมรสและการฉ้อโกงเงินของมารดานายโคมูโระ และกรณีโคมูโระกลั่นแกล้งเพื่อนในชั้นเรียน[35][36]

วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560 สำนักพระราชวังญี่ปุ่นได้ประกาศว่าเจ้าหญิงมาโกะและนายโคมูโระจะมีการหมั้นหมายกัน[37] โดยจะมีพิธีหมั้นในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561 และจะมีพิธีเสกสมรสในวันที่ 4 พฤศจิกายนปีเดียวกัน[38][39] ต่อมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 สำนักพระราชวังประกาศเลื่อนพิธีเสกสมรสออกไปจนถึงปี พ.ศ. 2563 และให้เหตุผลว่าทั้งสองยังไม่พร้อมสำหรับการเสกสมรส[40][41] โดยเจ้าหญิงมาโกะทรงกล่าวขออภัยมาด้วยว่า "ข้าพเจ้าขออภัยที่สร้างความวุ่นวายและภาระที่เพิ่มขึ้นแก่ผู้ที่ช่วยเหลือเราในการเตรียมงาน"[42][43] รวมทั้งเพื่อรอให้ผ่านพ้นพิธีสละพระราชบัลลังก์ของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ พระอัยกาในปี พ.ศ. 2562 ออกไปก่อน[44] ทั้งนี้เจ้าหญิงมาโกะจะเป็นเจ้านายฝ่ายในพระองค์ที่เก้าที่เสกสมรสกับชายสามัญชน และจะต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์ตามกฎมนเทียรบาล[45] แต่พระราชพิธีเสกสมรสถูกระงับไว้ เพราะปัญหาด้านการเงินของมารดานายโคมูโระ[46][47] นอกจากนี้แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่าตาของนายโคมูโระมีเชื้อสายเกาหลี[48]

วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564 สำนักข่าวเอ็นเอชเครายงานข่าวว่าเจ้าหญิงมาโกะจะเสกสมรสกับนายโคมูโระในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564 แต่จะไม่มีการจัดพิธีหมั้นและพิธีเสกสมรสตามธรรมเนียมญี่ปุ่น รวมทั้งทรงปฏิเสธเงินบำเหน็จการลาออกจากฐานันดรศักดิ์จำนวน 150 ล้านเยน หรือราว 44 ล้านบาท โดยหลังจากพิธีเสกสมรสเสร็จสิ้นลงแล้ว พระองค์จะออกไปใช้ชีวิตกับพระภัสดาที่นิวยอร์ก สหรัฐ[49][50]

ที่สุดเจ้าหญิงมาโกะและโคมูโระได้จดทะเบียนสมรสภายในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564 หรือวันสามวันหลังวันครบรอบวันประสูติของเจ้าหญิง[51] พระองค์ต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์หลังการเสกสมรส เช่นเดียวกับซายาโกะ คูโรดะ ซึ่งเป็นพระปิตุจฉา[52] หลังการจดทะเบียนสมรส มีการตั้งโต๊ะสัมภาษณ์ ทั้งสองจะตอบคำถามที่สื่อมวลชนญี่ปุ่นส่งมาล่วงหน้า ทั้งนี้เพื่อป้องกันคำถามที่รุนแรง เพราะมาโกะยังประชวรด้วยโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง[53]

มาโกะออกไปประทับ ณ พระตำหนักส่วนพระองค์ย่านชิบูยะเพื่อรอหนังสือเดินทางและวีซ่าสหรัฐ เพราะเมื่อลาออกจากฐานันดรศักดิ์แล้ว จะต้องย้ายออกจากพระราชวังของพระราชวงศ์ตามกฎหมาย[54] และจะติดตามพระภัสดาซึ่งสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมใน พ.ศ. 2564 และทำงานในบริษัทกฎหมายโลเวนสไตน์แซนด์เลอร์ แอลแอลพี (Lowenstein Sandler LLP) ในนิวยอร์ก[19][20] วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 มาโกะและโคมูโระเดินทางออกจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้ชีวิตที่สหรัฐ[55][56]

พระเกียรติยศ

[แก้]
ธรรมเนียมพระยศของ
เจ้าหญิงมาโกะ
(พ.ศ. 2534–2564)
ธงประจำพระอิสริยยศ
การทูลเด็งกะ/เท็งกะ (殿下)

พระอิสริยยศ

[แก้]
  • 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564 : เจ้าหญิงมาโกะแห่งอากิชิโนะ
  • 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564 – ปัจจุบัน : มาโกะ โคมูโระ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

พงศาวลี

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Visit of the General Public to the Palace for His Majesty's Birthday". The Imperial Household Agency. สืบค้นเมื่อ 30 October 2021.
  2. "Number of Imperial Telegrams (1991)". The Imperial Household Agency. สืบค้นเมื่อ 30 October 2021.
  3. "「研究部」". The University Museum, The University of Tokyo (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 15 September 2016.
  4. "Their Imperial Highnesses Crown Prince and Crown Princess Akishino and their family". Imperial Household Agency. สืบค้นเมื่อ 26 October 2021.
  5. "Japanese royal to spend time in Dublin studying English". The Irish Times. June 18, 2010. สืบค้นเมื่อ April 11, 2016.
  6. "「眞子さま、アイルランドから帰国 」". The Nikkei (ภาษาญี่ปุ่น). August 15, 2010. สืบค้นเมื่อ April 11, 2016.
  7. "Princess Mako Graduates University". The Royal Forums.
  8. "Their Imperial Highnesses Prince and Princess Akishino and their family - The Imperial Household Agency". kunaicho.go.jp.
  9. "「眞子さま、国際基督教大学をご卒業 「感謝しています」 」". Sankei Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). March 26, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-09. สืบค้นเมื่อ April 11, 2016.
  10. 「〈眞子さま〉国際基督教大学を卒業「一生の思い出の4年間」 Mainichi Shimbun March 26, 2014
  11. "Princess Mako celebrates her graduation from university". Royalista.
  12. "Princess Mako leaves for one year of study in England ‹ Japan Today: Japan News and Discussion". japantoday.com.
  13. "Japan's Princess Mako to study at Edinburgh University". deadlinenews.co.uk.
  14. "Princess Mako describes life at British university as 'fruitful' - The Japan Times". The Japan Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-23. สืบค้นเมื่อ 2017-05-18.
  15. "Hosting royalty". ed.ac.uk. 4 June 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-27. สืบค้นเมื่อ 2017-05-18.
  16. "眞子さまが9月に英国ご留学". MSN Sankei News (ภาษาญี่ปุ่น). Sankei Shimbun. August 3, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2012. สืบค้นเมื่อ April 11, 2016.
  17. "眞子さま、「複雑性PTSD」と診断 宮内庁が発表". The Asahi Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). The Asahi Shimbun. Oct 1, 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 1, 2021. สืบค้นเมื่อ October 25, 2021.
  18. "Princess Mako's marriage prospects unknown, Crown Prince Akishino says". The Japan Times. 22 June 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-26. สืบค้นเมื่อ 4 September 2021.
  19. 19.0 19.1 McCurry, Justin (1 October 2021). "Princess Mako wedding announcement stirs up media frenzy in Japan". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 1 October 2021.
  20. 20.0 20.1 Landers, Peter; Inada, Miho (1 October 2021). "Japan's Princess Mako to Marry as Palace Blames Media for Her PTSD". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 1 October 2021.
  21. 21.0 21.1 21.2 "เผยโฉมหนุ่มสุดหล่อ ว่าที่คู่หมั้นเจ้าหญิงแห่งญี่ปุ่น". MGR Online. 17 พฤษภาคม 2560. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-19. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  22. "Princess Mako off to Austria". The Japan Times.
  23. List of Overseas Visits by the Emperor, Empress and Imperial Family (1999 – 2008)
  24. "Japan's Princess Mako turns 20 and becomes newest adult member of Imperial Family". Telegraph.co.uk. 24 October 2011.
  25. 眞子さま、身分を隠しボランティア活動「実際に行ってみないとわからない…」
  26. "Image of Mako sign language".
  27. 「眞子さまがホームステイ 夏にオーストリアへ」 เก็บถาวร 2015-01-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Hokkaido Shimbun July 11, 2006 10:44
  28. 「世界遺産の宮殿を見学 ウィーンで眞子さま」 Chugoku Shimbun August 12, 2006
  29. ""เจ้าหญิงมาโกะ" เรียนต่อเมืองนอกเงียบ ๆ ปฏิบัติเยี่ยง "สามัญชน ม.ชม-ทรงถ่อมตัว"". มติชนออนไลน์. 24 กันยายน 2558. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)[ลิงก์เสีย]
  30. 5:00
  31. "ネットで大人気「眞子様萌え」! 宮内庁は困惑気味?". Yahoo! Netallica. 15 June 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2008.
  32. Yoshida, Reiji (16 May 2017). "Princess Mako, granddaughter of Emperor, set to marry ex-classmate". The Japan Times Online. สืบค้นเมื่อ 16 May 2017.[ลิงก์เสีย]
  33. "Princess Mako to lose Japan royal status by marrying commoner". BBC. 18 May 2017. สืบค้นเมื่อ 27 September 2017.
  34. "เผยประวัติว่าที่คู่หมั้นหนุ่มที่เจ้าหญิงมาโกะจะทรงสละฐานันดรศักดิ์มาแต่งงานด้วย". ข่าวสด. 17 พฤษภาคม 2560. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  35. "小室圭さんから"イジメ被害"の同級生が初告白「あれだけのことをしておいて、既読スルー」". Bunshun Online (ภาษาญี่ปุ่น). Bunshun. May 9, 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 3, 2021. สืบค้นเมื่อ October 25, 2021.
  36. "詐欺罪で告発された小室佳代さん 渡米に必要なビザ取得に影響の可能性も". News Post Seven (ภาษาญี่ปุ่น). Shogakukan. October 13, 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 23, 2021. สืบค้นเมื่อ October 25, 2021.
  37. "Japan's Princess Mako announces engagement". BBC. 4 September 2017. สืบค้นเมื่อ 27 September 2017.
  38. "Japan's Princess Mako Gives Up her Royal Status to Marry a Commoner". Time. 3 September 2017. สืบค้นเมื่อ 21 October 2017.
  39. "ญี่ปุ่นเผย 2 กำหนดการสำคัญ พระจักรพรรดิสละบังลังก์, เจ้าหญิงเสกสมรส". MGR Online. 23 พฤศจิกายน 2560. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  40. "Princess Mako to postpone her wedding to 2020". NHK World. 6 February 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-07. สืบค้นเมื่อ 6 February 2018.
  41. "รีบเกินไป! 'เจ้าหญิงมาโกะ' ขอเลื่อนงานหมั้น-เสกสมรสแฟนหนุ่มไปอีก 2 ปี". ไทยรัฐออนไลน์. 6 กุมภาพันธ์ 2561. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2561. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  42. "เจ้าหญิงมาโกะแห่งญี่ปุ่นเลื่อนพิธีเสกสมรสกับหนุ่มสามัญชนออกไปอย่างน้อย 2 ปี". MGR Online. 6 กุมภาพันธ์ 2561. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2561. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  43. "เจ้าหญิงมาโกะแห่งญี่ปุ่นทรงเลื่อนพิธีเสกสมรสออกไปจนถึงปี 2020". บีบีซีไทย. 7 กุมภาพันธ์ 2561. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2561. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  44. "เจ้าหญิงมาโกะของญี่ปุ่นเลื่อนพิธีเสกสมรส". มติชนออนไลน์. 6 กุมภาพันธ์ 2561. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2561. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  45. Fogarty, Philippa (19 May 2017). "The princess, the palace and the shrinking royal line". BBC. สืบค้นเมื่อ 27 September 2017.
  46. "Princess Mako's marriage prospects unknown, Crown Prince Akishino says". The Japan Times. 22 June 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-26. สืบค้นเมื่อ 14 July 2019.
  47. "คู่หมั้น 'เจ้าหญิงมาโกะ' ประกาศเคลียร์ปัญหาหนี้สินของครอบครัว-พร้อมเดินหน้าพิธีเสกสมรส". ผู้จัดการออนไลน์. 23 มกราคม 2562. สืบค้นเมื่อ 1 มกราคม 2563. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  48. Julian Ryall (7 กุมภาพันธ์ 2561). "Bad debts and Korean blood: Japanese tabloids in a frenzy after Princess Mako's wedding postponed". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2563. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  49. "Princess Mako to wed boyfriend Komuro this year". NHK. 1 กันยายน 2564. สืบค้นเมื่อ 2 กันยายน 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  50. "เจ้าหญิงมาโกะ เข้าพิธีเสกสมรสปลายปีนี้ และไม่ขอรับเงินจากราชวงศ์ตามสิทธิที่ได้รับ". มติชนออนไลน์. 1 กันยายน 2564. สืบค้นเมื่อ 2 กันยายน 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  51. Reuters, Story by. "Japan's Princess Mako celebrates final birthday as member of imperial family before wedding to commoner". CNN. สืบค้นเมื่อ 2021-10-23.
  52. Fogarty, Philippa (19 May 2017). "The princess, the palace and the shrinking royal line". BBC. สืบค้นเมื่อ 4 September 2021.
  53. "眞子さまと小室さんの会見 質疑応答は取りやめに". TV Asashi News (ภาษาญี่ปุ่น). TV Asashi. October 26, 2021. สืบค้นเมื่อ October 26, 2021.
  54. "眞子さま渋谷区内のマンションで渡米準備 あす婚姻届提出後に皇籍離脱". TBS News (ภาษาญี่ปุ่น). October 25, 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-25. สืบค้นเมื่อ October 25, 2021.
  55. Philip Wang (14 พฤศจิกายน 2564). "Former Japanese princess moves to New York with newlywed husband". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  56. "อดีตเจ้าหญิงมาโกะพร้อมสามี ออกเดินทางตั้งต้นชีวิตใหม่ที่สหรัฐฯ". ไทยรัฐออนไลน์. 14 พฤศจิกายน 2564. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  57. Régine. "Les 20 ans de la princesse Mako du Japon". Noblesse & Royautés. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-12. สืบค้นเมื่อ 2017-06-22.
  58. "Brazil Decorates Princess Mako". Nippon.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-12. สืบค้นเมื่อ 2021-10-26.
  59. "Crown Prince Akishino, Princess Mako Get Medals from Paraguay". 5 October 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-09. สืบค้นเมื่อ 2021-10-26.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]